จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประจำวันที่ 29 เมษายน 2559 มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบและประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ทั้งหมด 29 จังหวัด 154 อำเภอ 705 ตำบล 5,679 หมู่บ้าน โดยแบ่งเป็น 1) พื้นที่ประสบภัยด้านน้ำอุปโภคบริโภค จำนวน 11 จังหวัด 34 อำเภอ 130 ตำบล 847 หมู่บ้าน ประกอบด้วย จังหวัดน่าน พิจิตร ลำพูน ตาก สุรินทร์ ขอนแก่น ชัยนาท สระบุรี ชลบุรี ตรัง ประจวบคีรีขันธ์ 2) พื้นที่ประสบภัยด้านน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน 9 จังหวัด 70 อำเภอ 342 ตำบล 2,997 หมู่บ้าน ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา สุโขทัย นครพนม มหาสารคาม บุรีรัมย์ กาญจนบุรี สระแก้ว จันทบุรี 3) พื้นที่ประสบภัยด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและด้านน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน 9 จังหวัด 50 อำเภอ 233 ตำบล 1,835 หมู่บ้าน ประกอบด้วย จังหวัดอุตรดิตถ์ นครสวรรค์ นครราชสีมา เพชรบุรี ตราด สตูล กระบี่ นครศรีธรรมราช และหนองบัวลำภู
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะภัยแล้ง คือ ปริมาณฝน ซึ่งในปี 2558 มีปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยทั้งประเทศเพียง 1,251 มิลลิเมตร น้อยกว่าปกติอยู่ประมาณ 14.73% หรือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2524-2557 ซึ่งหมายรวมถึงการมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่ประเทศไทยประสบภัยแล้งรุนแรง เช่น ปี 2537 ปี 2542 ปี 2548 ปี 2553 และเมื่อพิจารณาถึงการกระจายตัวของฝนปี 2558 พบว่าบริเวณตอนกลางของประเทศมีฝนตกน้อยมากเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั้งพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ตอนบน ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวมีฝนตกน้อยต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 และถึงแม้ว่าบริเวณชายขอบประเทศจะมีฝนตกอยู่บ้างแต่เป็นปริมาณฝนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและอยู่นอกพื้นที่รับน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของประเทศทั้ง 33 อ่าง มีค่อนข้างน้อย เมื่อถึงสิ้นสุดฤดูฝนของปี 2558 (31 ตุลาคม 2558 ) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศจึงมีปริมาณน้ำคงเหลือเพื่อเป็นต้นทุนสำหรับฤดูแล้ง ปี 2558/2559 อยู่เพียง 41,105 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้อยวิกฤต โดยน้อยที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งน้อยกว่าปี 2553 ซึ่งประเทศไทยประสบภัยแล้งรุนแรง และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งปี 2558/2559 ( พฤศจิกายนถึงเมษายน) ฝนยังคงตกน้อยต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นสภาวะปกติของช่วงฤดูแล้ง ถึงแม้ว่าในเดือนมกราคม จะมีฝนตกมากกว่าปกติค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญประการต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ อีกทั้งเมื่อเข้าสู่เดือนมีนาคมและเมษายน ฝนกลับตกน้อยกว่าปกติค่อนข้างมาก ส่งผลทำให้มีน้ำมาเติมในเขื่อนน้อยมาก สถานการณ์น้ำจึงอยู่ในภาวะวิกฤตตลอดฤดูกาล โดยมีน้ำคงเหลือรวมทั้งประเทศเมื่อสิ้นฤดูแล้งเพื่อเป็นน้ำต้นทุนในช่วงฤดูฝนปี 2559 เพียง 32,476 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น และหากพิจารณาข้อมูลเป็นรายภาคพบว่า ปี 2558 ปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือในแต่ละภาคมีอยู่ค่อนข้างน้อย มีเพียงภาคใต้ที่สถานการณ์น้ำอยู่ในภาวะปกติ นอกจากนี้สถานการณ์น้ำในภาคเหนือและภาคตะวันตกยังคงอยู่ในภาวะน้อยวิกฤตพร้อมกันต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทำให้ยังคงส่งผลกระทบถึงภาคกลางที่ใช้น้ำต้นทุนจากทั้งสองภาค สำหรับ 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำกักเก็บ ณ วันเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูแล้งเพียง 10,943 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น ซึ่งเป็นปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือน้อยที่สุดในรอบหลายปี และเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้งทั้ง 4 เขื่อน มีปริมาณน้ำกักเก็บเพื่อเป็นต้นทุนในฤดูฝนเพียง 10,515 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้กรมชลประทานต้องประกาศขอความร่วมืองดทำนาปรังในช่วงเวลาดังกล่าว
จากสถานการณ์น้ำคงเหลือที่มีอยู่ค่อนข้างน้อย กรมชลประทานจึงได้วางแผนการใช้น้ำช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ตามการใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย 1) อุปโภค-บริโภค 2) อุตสาหกรรม 3) การเกษตร 4) ระบบนิเวศและอื่น ๆ
โดยมีการจัดสรรน้ำไว้เพื่ออุปโภค-บริโภค ทั้งสิ้น 2,173 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 19% อุตสาหกรรม 196 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 2% การเกษตร 3,564 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 31% ระบบนิเวศและอื่น ๆ 5,487 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 48% หากพิจารณาเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา
มีการจัดสรรน้ำไว้ทั้งสิ้น 3,200 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่ออุปโภค-บริโภค 1,100 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 34% อุตสาหกรรม 15 ล้านลูกบาศก์เมตร คดเป็น 1% การเกษตร 700 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 22% ระบบนิเวศและอื่น ๆ 1,385 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 43% และเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้ง จากรายงานพบว่าทั้งประเทศ มีการใช้น้ำเกินแผนไปทั้งสิ้น 106 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือเกินจากแผน 1% ส่วนลุ่มน้ำเจ้าพระยาใช้น้ำไปทั้งสิ้น
3,095 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 97% หรือต่ำกว่าแผน 3%
สำหรับการเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 กรมชลประทานได้ว่างแผนการเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้งทั้งประเทศ ทั้งสิ้น 1.59 ล้านไร่ แต่มีการเพาะปลูกจริง 4.013 ล้านไร่ คิดเป็น 253% ซึ่งเกินจากแผนไปถึง 2.423 ล้านไร่ ทั้งนี้มีการปลูกข้าวนาปรังเกินแผนไป 2.375 ล้านไร่ หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก มีการเพาะปลูกพืชเกินแผนที่วางไว้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียเงหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ มีการเพาะปลูกอยู่ในแผน แต่ทั้งนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการเพาะปลูกข้าวนาปรังเกินแผนที่วางไว้ สำหรับในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา กรมชลประทานได้ประกาศขอความร่วมมืองดทำนาปรัง แต่ยังคงมีเกษตรกรปลูกข้าวนาปรังจำนวนรวมทั้งสิ้น 1.987 ล้านไร่ แต่หากเปรียบเทียบช่วงฤดูแล้ง ปี 2556/2557 ปี 2557/2558 และปี 2558/2559 จะเห็นได้ว่าปี 2558/2559 เกษตรกรทำนาปรังน้อยกว่าปีอื่น ๆ ค่อนข้างมาก
และถึงแม้ว่าตลอดปี 2558 จนถึงช่วงฤดูแล้ง 2558/2559 จะมีฝนตกน้อย ทำให้น้ำในเขื่อนและแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ มีค่อนข้างน้อย แต่สถานการณ์น้ำเค็มรุกล้ำลำน้ำกลับอยู่ในสภาวะปกติ ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง ท่าจีน และแม่กลอง โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานีสูบน้ำสำแล อ.เมือง จ.ปทุมธานี ที่ค่าความเค็มอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปาตลอดฤดูแล้ง ทำให้ไม่ส่งผลต่อการผลิตน้ำประปาแต่อย่างใด
ภาพถ่ายบริเวณกว๊านพะเยา 10 พฤษภาคม 2559
ข้อมูลโดย : กรมอุตุนิยมวิทยา / NASA
แผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมสังเคราะห์จากข้อมูลฝนของสถานีตรวจอากาศกรมอุตุนิยมวิทยา
จัดทำโดย สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)
1.ปริมาณฝนสะสมรายปี
ปี 2558 มีปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 1,251 มิลลิเมตร ซึ่งน้อยกว่าปกติอยู่ประมาณ 14.73% หรือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2524-2557 ซึ่งหมายรวมถึงการมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่ประเทศไทยประสบภัยแล้งรุนแรง เช่น ปี 2537 ปี 2542 ปี 2548 ปี 2553 อันเนื่องมาจากมีฝนตกค่อนข้างน้อยในปีก่อนที่จะเกิดภัยแล้ง ซึ่งได้แก่ ปี 2536 2541 2547 และ 2552
เมื่อพิจารณาถึงการกระจายตัวของฝนปี 2558 พบว่าบริเวณตอนกลางของประเทศมีฝนตกน้อยมากเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั้งพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ตอนบน ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวมีฝนตกน้อยต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 และถึงแม้ว่าบริเวณชายขอบประเทศจะมีฝนตกอยู่บ้างแต่เป็นปริมาณฝนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและอยู่นอกพื้นที่รับน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
แผนภาพแสดงการกระจายตัวของฝนรายปี
กราฟแสดงปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีบริเวณประเทศไทย
ในรอบ 35 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปริมาณฝนตกรวมทั้งปีน้อยกว่าปกติอยู่ทั้งหมด 20 ปี ได้แก่ ปี 2524 2525 2527 2528 2529 2530 2532 2533 2534 2535 2536 2540 2541 2546 2547 2548 2552 2553 2557 และปี 2558 ส่วนปีที่มีฝนตกมากกว่าปกติ มี 15 ปี ได้แก่ ปี 2526 2531 2537 2538 2539 2542 2543 2544 2545 2549 2550 2551 2554 2555 และปี 2556 ทั้งนี้ค่าปกติคำนวณจากฝนเฉลี่ย 30 ปี ระหว่างปี 2524 ถึงปี 2553 ซึ่งมีค่าฝนเฉลี่ย 1,467 มิลลิเมตร
สำหรับปี 2558 มีฝนตกน้อยกว่าปกติถึง 14.73% ซึ่งเป็นปริมาณฝนที่น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับปริมาณฝนตั้งแต่ปี 2524-2557 โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีฝนตกน้อยกว่าปกติ มีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่มีฝนตกมากกว่าปกติกระจุกตัวเป็นพื้นที่เล็ก ๆ เช่น บริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดนครราชสีมา ลพบุรี สระบุรี ชุมพร ระนอง เป็นต้น
2.ปริมาณฝนสะสมรายภาค
หากเปรียบเทียบปริมาณฝนเป็นรายภาคระหว่างปี 2558 และค่าเฉลี่ย 30 ปี (ค่าปกติ) พบว่า ทุกภาคมีฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันออกที่มีฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย
ตารางแสดงปริมาณฝนเฉลี่ยรายภาคระหว่างปี 2548-2558
ภาค |
เฉลี่ย 30 ปี |
ปี 2548 |
ปี 2549 |
ปี 2550 |
ปี 2551 |
ปี 2552 |
ปี 2553 |
ปี 2554 |
ปี 2555 |
ปี 2556 |
ปี 2557 |
ปี 2558 |
ภาคเหนือ |
1,231.82 |
1,314.28 |
1,496.23 |
1,262.49 |
1,360.49 |
1,135.87 |
1,263.56 |
1,738.02 |
1,282.12 |
1,328.81 |
1,149.74 |
1,020.27 |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
1,384.05 |
1,212.28 |
1,432.11 |
1,452.47 |
1,517.55 |
1,364.23 |
1,299.75 |
1,661.58 |
1,261.83 |
1,456.96 |
1,343.91 |
1,159.14 |
ภาคกลาง |
1,218.45 |
1,211.86 |
1,333.81 |
1,167.91 |
1,277.57 |
1,279.20 |
1,254.62 |
1,374.69 |
1,247.49 |
1,222.45 |
1,020.81 |
1,015.31 |
ภาคตะวันออก |
1,847.84 |
1,657.03 |
1,993.11 |
1,668.19 |
1,937.36 |
1,783.10 |
1,738.15 |
2,037.10 |
1,920.53 |
2,236.39 |
1,617.28 |
1,606.90 |
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก |
2,534.93 |
1,937.21 |
2,393.04 |
2,465.33 |
2,215.56 |
2,320.24 |
2,309.48 |
2,889.32 |
2,903.69 |
2,769.38 |
2,536.13 |
1,644.14 |
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก |
1,972.34 |
1,677.82 |
1,833.76 |
1,953.68 |
1,931.62 |
1,812.07 |
1,987.69 |
2,529.66 |
2,082.90 |
2,107.33 |
1,882.19 |
2,303.75 |
ทั้งประเทศ |
1,466.93 |
1,359.17 |
1,562.80 |
1,470.19 |
1,543.23 |
1,403.46 |
1,435.60 |
1,824.25 |
1,474.54 |
1,569.49 |
1,370.18 |
1,250.90 |
กราฟแสดงปริมาณฝนเฉลี่ยรายภาคระหว่งปี 2548-2558
3.ปริมาณฝนสะสมช่วงฤดูแล้ง (พฤศจิกายน-เมษายน)
จากแผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมช่วงฤดูแล้ง เปรียบเทียบระหว่างฤดูแล้งปี 2547/2548 2552/2553 2556/2557 2557/2558 และ 2558/2559 พบว่าช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 มีปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งฤดูประมาณ 204 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าช่วงฤดูแล้งปี 2547/2548 และ 2552/2553 แต่ทั้งนี้พื้นที่ตอนบนของประเทศยังคงมีฝนตกน้อยมากในทุกภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยมีปริมาณฝนมาก กระจุกตัวอยู่ทางด้านตะวันออกของภาคเหนือ และบางพื้นที่ของภาคตะวันออกเท่านั้น
แผนภาพแสดงการกระจายตัวของฝนในช่วงฤดูแล้ง
สถิติ 30 ปี |
ฤดูแล้งปี 2547/2548 |
ฤดูแล้งปี 2552/2553 |
ฤดูแล้งปี 2555/2556 |
ฤดูแล้งปี 2556/2557 |
ฤดูแล้งปี 2557/2558 |
ฤดูแล้งปี 2558/2559 |
![]() สถิติ 30 ปี เดือนพฤศจิกายน ( 78.92 มม.) |
![]() พฤศจิกายน 2547 ( 41.43 มม.) |
![]() พฤศจิกายน 2552 (46.31 มม.) |
![]() พฤศจิกายน 2555 (84.25 มม.) |
![]() พฤศจิกายน 2556 (99.93 มม.) |
![]() พฤศจิกายน 2557 ( 84.66 มม.) |
![]() พฤศจิกายน 2558 ( 75.73 มม.) |
![]() สถิติ 30 ปี เดือนธันวาคม (39.12 มม.) |
![]() ธันวาคม 2547 ( 15.54 มม.) |
![]() ธันวาคม 2552 (12.16 มม.) |
![]() ธันวาคม 2555 (45.05 มม.) |
![]() ธันวาคม 2556 (42.23 มม.) |
![]() ธันวาคม 2557 (53.57 มม.) |
![]() ธันวาคม 2558 (36.71 มม.) |
![]() สถิติ 30 ปี เืดือนมกราคม ( 13.57 มม.) |
![]() มกราคม 2548 ( 10.12 มม.) |
![]() มกราคม 2553 ( 36.98 มม.) |
![]() มกราคม 2556 (27.41 มม.) |
![]() (4.51 มม.) |
![]() มกราคม 2558 ( 23.34 มม.) |
![]() มกราคม 2559 ( 42.87 มม.) |
![]() สถิติ 30 ปี เดือนกุมภาพันธ์ ( 18.18 มม.) |
![]() กุมภาพันธ์ 2548 ( 2.10 มม.) |
![]() กุมภาพันธ์ 2553 ( 11.94 มม.) |
![]() กุมภาพันธ์ 2556 (22.89 มม.) |
![]() (2.92 มม.) |
![]() กุมภาพันธ์ 2558 ( 19.30 มม.) |
![]() กุมภาพันธ์ 2559 ( 5.49 มม.) |
![]() สถิติ 30 ปี เดือนมีนาคม ( 44.46 มม.) |
![]() มีนาคม 2548 ( 36.01 มม.) |
![]() มีนาคม 2553 ( 19.15 มม.) |
![]() มีนาคม 2556 ( 28.99 มม.) |
![]() ( 21.89 มม.) |
![]() มีนาคม 2558 ( 38.08 มม.) |
![]() มีนาคม 2559 ( 6.45 มม.) |
![]() สถิติ 30 ปี เดือนเมษายน ( 84.52 มม.) |
![]() เมษายน 2548 ( 71.98 มม.) |
![]() เมษายน 2553 (53.36 มม.) |
![]() เมษายน 2556 ( 72.84 มม.) |
![]() (82.77 มม.) |
![]() เมษายน 2558 ( 68.07 มม.) |
![]() เมษายน 2559 ( 36.45 มม.) |
แผนภาพแสดงปริมาณฝนรายเดือนช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ที่ต่างไปจากค่าปกติ
พฤศจิกายน
ค่าเฉลี่ย ฤดูแล้งปี 2558/2559 ต่างจากค่าเฉลี่ย
ธันวาคม
ค่าเฉลี่ย ฤดูแล้งปี 2558/2559 ต่างจากค่าเฉลี่ย
มกราคม
ค่าเฉลี่ย ฤดูแล้งปี 2558/2559 ต่างจากค่าเฉลี่ย
กุมภาพันธ์
ค่าเฉลี่ย ฤดูแล้งปี 2558/2559 ต่างจากค่าเฉลี่ย
มีนาคม
ค่าเฉลี่ย ฤดูแล้งปี 2558/2559 ต่างจากค่าเฉลี่ย
เมษายน
ค่าเฉลี่ย ฤดูแล้งปี 2558/2559 ต่างจากค่าเฉลี่ย
ข้อมูลโดย : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน)
จากการตรวจวัดค่าความชื้นด้วยระบบโทรมาตรตรวจวัดอากาศของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน) พบว่าช่วงฤดูแล้งปี 58/59 บริเวณตอนบนของประเทศมีค่าความชื้นลดต่ำลงมากในเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน โดยเฉพาะตอนบนของประเทศซึ่งความชื้นต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงฤดูแล้งของปีอื่น ๆ
ฤดูแล้งปี 2552/2553 |
ฤดูแล้งปี 2555/2556 |
ฤดูแล้งปี 2556/2557 |
ฤดูแล้งปี 2557/2558 |
ฤดูแล้งปี 2558/2559 |
![]() พฤศจิกายน 2552 |
![]() พฤศจิกายน 2555 |
![]() พฤศจิกายน 2556 |
![]() พฤศจิกายน 2557 |
![]() พฤศจิกายน 2558 |
![]() ธันวาคม 2552 |
![]() ธันวาคม 2555 |
![]() ธันวาคม 2556 |
![]() ธันวาคม 2557 |
![]() ธันวาคม 2558 |
![]() มกราคม 2553 |
![]() มกราคม 2556 |
![]() มกราคม 2557 |
![]() มกราคม 2558 |
![]() มกราคม 2559 |
![]() กุมภาพันธ์ 2553 |
![]() กุมภาพันธ์ 2556 |
![]() กุมภาพันธ์ 2557 |
![]() กุมภาพันธ์ 2558 |
![]() กุมภาพันธ์ 2559 |
![]() มีนาคม 2553 |
![]() มีนาคม 2556 |
![]() มีนาคม 2557 |
![]() มีนาคม 2558 |
![]() มีนาคม 2559 |
![]() เมษายน 2553 |
![]() เมษายน 2556 |
![]() เมษายน 2557 |
![]() เมษายน 2558 |
![]() เมษายน 2559 |
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/radar/show_humidImg.php
ข้อมูลโดย : กรมชลประทาน / การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
เนื่องจากปริมาณฝนเฉลี่ยในปี 2558 มีเพียง 1,251 มิลลิเมตร ซึ่งต่ำกว่าปกติถึง 14.75% โดยปริมาณฝนน้อยกว่าปกติในทุกภาค โดยเฉพาะตอนบนของประเทศนั้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของประเทศทั้ง 33 อ่าง มีค่อนข้างน้อย เมื่อถึงสิ้นสุดฤดูฝนของปี 2558 (31 ตุลาคม 2558 ) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศจึงมีปริมาณน้ำคงเหลือเพื่อเป็นต้นทุนสำหรับฤดูแล้ง ปี 2558/2559 อยู่เพียง 41,105 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้อยวิกฤต โดยน้อยที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งน้อยกว่าปี 2553 ซึ่งประเทศไทยประสบภัยแล้งรุนแรง และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งปี 2558/2559 ( พฤศจิกายนถึงเมษายน) ฝนยังคงตกน้อยต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นสภาวะปกติของช่วงฤดูแล้ง ถึงแม้ว่าในเดือนมกราคม จะมีฝนตกมากกว่าปกติค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญประการต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ อีกทั้งเมื่อเข้าสู่เดือนมีนาคมและเมษายน ฝนกลับตกน้อยกว่าปกติค่อนข้างมาก ส่งผลทำให้มีน้ำมาเติมในเขื่อนน้อยมาก สถานการณ์น้ำจึงอยู่ในภาวะวิกฤตตลอดฤดูกาล โดยมีน้ำคงเหลือรวมทั้งประเทศเมื่อสิ้นฤดูแล้งเพื่อเป็นน้ำต้นทุนในช่วงฤดูฝนปี 2559 เพียง 32,476 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น
หากพิจารณาข้อมูลเป็นรายภาคพบว่า ปี 2558 ปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือในแต่ละภาคมีอยู่ค่อนข้างน้อย มีเพียงภาคใต้ที่สถานการณ์น้ำอยู่ในภาวะปกติ และในปีนี้สถานการณ์น้ำในภาคเหนือและภาคตะวันตกยังคงอยู่ในภาวะน้อยวิกฤตพร้อมกันต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทำให้ยังคงส่งผลกระทบถึงภาคกลางที่ใช้น้ำต้นทุนจากทั้งสองภาค
สำหรับ 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำกักเก็บ ณ วันเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูแล้งเพียง 10,943 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น ซึ่งเป็นปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือน้อยที่สุดในรอบหลายปี และเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้งทั้ง 4 เขื่อน มีปริมาณน้ำกักเก็บเพื่อเป็นต้นทุนในฤดูฝนเพียง 10,515 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้กรมชลประทานต้องประกาศขอความร่วมืองดทำนาปรังในช่วงเวลาดังกล่าว
ปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ
4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา
วันที่ 1 พฤศจิกายน
ปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ
4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา
วันที่ 1 พฤษภาคม
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/rid_bigcm.php
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
ข้อมูลเพิ่มเติม : ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน http://wmsc.rid.go.th/
ระดับน้ำ บริเวณจุดตรวจวัดสำคัญในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากการตรวจวัดระดับน้ำโดยสถานีโทรมาตร ของ สสนก. บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาบนเส้นทางน้ำหลัก ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก โดยเปรียบเทียบข้อมูลตั้งแต่ปี 2555-2559 พบว่า ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักส่วนใหญ่ค่อนข้างน้อยต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 และบางจุดอยู่ในระดับน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับปีอื่น ๆ รายละเอียดเพิ่มเติมตามกราฟด้านล่าง
![]() แม่น้ำปิง [สถานี PIN001- ต.บ้านตาก อ.บ้านตาก จ.ตาก] |
![]() แม่น้ำปิง [สถานี PIN003- ต.ลานดอกไม้ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร] |
![]() แม่น้ำปิง [สถานี PIN005 - ต.หัวดง อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์] |
|
![]() แม่น้ำวัง [สถานี WAN005 - ต.ต้นธงชัย อ.เมือง จ.ลำปาง] |
![]() แม่น้ำวัง [สถานี WAN003- ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง] |
![]() แม่น้ำวัง [สถานี WAN001- ต.วังหมัน อ.สามเงา จ.ตาก ] |
|
![]() แม่น้ำยม [สถานี YOM004 - ต.เด่นชัย อ.เด่นชัย จ.แพร่] |
![]() แม่น้ำยม [สถานี YOM005 - ต.หาดเสี้่ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย] |
![]() แม่น้ำยม [สถานี YOM008 - ต.บางระกำ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก] |
|
![]() แม่น้ำน่าน [สถานี NAN001 - ต.ท่าวังผา อ.ท่าวังผา จ.น่าน] |
![]() แม่น้ำน่าน [สถานี NAN004 - ต.ในเมือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์] |
![]() แม่น้ำน่าน [สถานี NAN008 - ต.เกยไชย อ.ชุมแสง อ.นครสวรรค์] |
|
![]() แม่น้ำเจ้าพระยา [สถานี CPY001 - ต.ปากน้ำโพ อ.เมือง จ.นครสวรรค์] |
![]() แม่น้ำเจ้าพระยา [สถานี CPY005 - ต.โพนางดำออก อ.สรรพยา จ.ชัยนาท] |
![]() แม่น้ำเจ้าพระยา [สถานี CPY006 - ต.อินทรบุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี] |
|
![]() แม่น้ำป่าสัก [สถานี PAS001 - ต.หล่มสัก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์] |
![]() แม่น้ำป่าสัก [สถานี PAS007 - ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี] |
![]() แม่น้ำป่าสัก [สถานี PAS008 - ต.ท่าเรือ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา] |
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/wl_summary.php และ http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/chart/chaopraya/small/chaopraya.php
ข้อมูลโดย : กรมควบคุมมลพิษ / การประปานครหลวง
จากการตรวจวัดค่าความเค็มโดยสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำของการประปานครหลวงและกรมควบคุมมลพิษ บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำท่าจีน ตลอดช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 พบว่าสถานการณ์น้ำเค็มอยู่ในภาวะปกติ มีค่าความเค็มเกินมาตรฐานในบางช่วงเวลา ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของช่วงฤดูแล้ง ดังรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้
แม่น้ำเจ้าพระยา จากการตรวจวัดค่าความเค็มที่สถานีสูบน้ำดิบสำแล อ.เมือง จ.ปทุมธานี ของการประปานครหลวง พบว่าตลอดช่วงฤดูแล้ง ค่าความเค็มที่ตรวจวัดได้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปา (ความเค็มไม่เกิน 0.25 กรัมต่อลิตร) ซึ่งต่างจากช่วงต้นปี 2557 ที่เกิดสถานการณ์น้ำเค็มรุกล้ำค่อนข้างรุนแรง สำหรับที่สถานีสะพานพระนั่งเกล้า ช่วงฤดูแล้งนี้มีค่าความเค็มเกิน 0.25 กรัมต่อลิตร ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงปลายเดือนมีนาคม แต่ไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากบริเวณดังกล่าวไม่มีการสูบน้ำขึ้นมาผลิตน้ำประปา รวมทั้งค่าความเค็มที่วัดได้ยังไม่เกินมาตรฐานเพื่อการเกษตร ( 2.0 กรัมต่อลิตร) จึงยังคงสามารถนำน้ำไปใช้เพื่อการเกษตรได้ปกติ ส่วนที่สถานีคลองลัดโพธิ์ มีค่าความเค็มเกินมาตรฐานทั้งเพื่อการผลิตน้ำประปาและเพื่อการเกษตร อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมจนสิ้นสุดฤดูแล้ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ปี เนื่องจากเป็นบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา
แม่น้ำบางปะกง จากการตรวจวัดค่าความเค็มที่สถานีบางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ค่าความเค็มเกินมาตรฐานสำหรับผลิตน้ำประปาและเพื่อการเกษตรค่อนข้างมาก ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงสิ้นสุดฤดูแล้ง ส่วนสถานีเมืองฉะเชิงเทรา อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ค่าความเค็มเริ่มเกินมาตรฐานการผลิตน้ำประปาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม และเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกินค่ามาตรฐานน้ำเพื่อการเกษตรในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นสถานการณ์ปกติของแม่น้ำบางปะกงในช่วงฤดูแล้ง
แม่น้ำแม่กลอง จากการตรวจวัดค่าความเค็มที่สถานีกระทุ่มแบน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พบค่าความเค็มเกินมาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงช่วงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งค่าความเค็มเพิ่มขึ้นจนเกินมาตรฐานเพื่อการเกษตร หลังจากนั้นค่าความเค็มลดลงค่อนข้างมาก และเกินมาตรฐานการผลิตน้ำประปาเพียงเล็กน้อย
แม่น้ำท่าจีน จากการตรวจวัดค่าความเค็มที่สถานีนครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม พบค่าความเค็มเกินมาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปา เป็นระยะ ๆ ตลอดช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคมจนถึงช่วงกลางเดือนมกราคมที่ค่าความเค็มเกินมาตรฐานค่อนข้างต่อเนื่อง
ข้อมูลโดย : กรมชลประทาน
แผนการจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 แยกตามการใช้ประโยชน์
ช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 กรมชลประทานได้วางแผนจัดสรรน้ำตามการใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย 1) อุปโภค-บริโภค 2) อุตสาหกรรม 3) การเกษตร 4) ระบบนิเวศและอื่น ๆ
สำหรับการวางแผนจัดสรรน้ำทั้งประเทศ มีการจัดสรรน้ำไว้เพื่ออุปโภค-บริโภค ทั้งสิ้น 2,173 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 19% อุตสาหกรรม 196 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 2% การเกษตร 3,564 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 31% ระบบนิเวศและอื่น ๆ 5,487 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 48% หากพิจารณาเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา
มีการจัดสรรน้ำไว้ทั้งสิ้น 3,200 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่ออุปโภค-บริโภค 1,100 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 34% อุตสาหกรรม 15 ล้านลูกบาศก์เมตร คดเป็น 1% การเกษตร 700 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 22% ระบบนิเวศและอื่น ๆ 1,385 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 43%
แผน/ผล การจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้ง ปี 2558/2559 แยกตามพื้นที่
จากรายงานแผน/ผลการจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2559)
โดยกรมชลประทาน
พบว่า ทั้งประเทศ มีการใช้น้ำเกินแผนไปทั้งสิ้น 106 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือเกินจากแผน 1% ส่วนลุ่มน้ำเจ้าพระยาใช้น้ำไปทั้งสิ้น
3,095 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 97% หรือต่ำกว่าแผน
3%
สำหรับลุ่มน้ำแม่กลองที่มีการวางแผนการใช้น้ำในช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ไว้ที่ 3,160 ล้านลูกบาศก์เมตร และได้จัดสรรการใช้น้ำจริง 3,150 ล้านลูกบาศก์เมตร มีน้ำคงเหลือจากแผนเพียง 10 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น
แผน/ผล การจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้ง ปี 2558/2559 ทั้งประเทศและลุ่มน้ำเจ้าพระยา (1 พ.ย. 58 - 30 เม.ย. 59)
ที่มา : กรมชลประทาน
แผน/ผล การจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้ง ปี 2558/2559 ลุ่มน้ำแม่กลอง (1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 59)
ที่มา : กรมชลประทาน
เปรียบเทียบปริมาณน้ำ แผน/ผล การจัดสรรน้ำในแต่ละปี
ทั้งประเทศ จากการเปรียบเทียบข้อมูลแผน/ผลการจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 51/52 ถึงปี 58/59 พบว่ามีการใช้น้ำเกินแผน 6 ปี ประกอบด้วย ปี 51/52 ปี 52/53 ปี 54/55 ปี 56/57 ปี 57/58 ปี 58/59และใช้น้ำต่ำกว่าแผน 2 ปี ประกอบด้วย ปี 53/54 และปี 55/56
โดยปี 54/55 มีปริมาณน้ำมากที่สุดและวางแผนการใช้น้ำไว้มากที่สุด แต่ยังคงมีการใช้น้ำเกินแผน และปี 58/59 มีการจัดสรรน้ำไว้น้อยที่สุดเพียง 11,420 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีการใช้น้ำเกินกว่าแผนไป 106 ล้านลูกบาศก์เมตร
ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากการเปรียบเทียบข้อมูลแผน/ผลการจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 51/52 ถึงปี 58/59 พบว่ามีการใช้น้ำเกินแผน 6 ปี ประกอบด้วย ปี 51/52 ปี52/53 ปี 54/55 ปี 55/56 ปี 56/57
ปี 57/58 และใช้น้ำต่ำกว่าแผน 2 ปี คือ ปี 53/54 และ 58/59 โดยปี 54/55 จัดสรรน้ำไว้มากที่สุดแต่มีการใช้น้ำเกินแผน สำหรับปีแล้ง 52/53 มีการจัดสรรน้ำ 8,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
แต่กลับใช้น้ำเกินแผนไปมากที่สุดถึง 2,339 ล้านลูกบาศก์เมตร และปี 57/58 มีการจัดสรรน้ำไว้น้อยที่สุดเพียง 2,900 ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้น้ำเกินแผนไป 1,213 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปริมาณน้ำต้นทุน และการจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้ง ทั้งประเทศ
ฤดูแล้ง | ปริมาณน้ำทั้งหมด | ปริมาณน้ำใช้การได้ | อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ | อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง | แผนการใช้น้ำ | ผลการใช้น้ำ |
|
ปี 51/52 |
59,641 | 36,131 | 32,941 | 3,217 | 22,687 | 24,160 | เกินแผน |
ปี 52/53 |
58,532 | 35,022 | 31,917 | 3,105 | 20,720 | 22,471 | เกินแผน |
ปี 53/54 |
55,691 | 31,851 | 28,647 | 3,204 | 20,444 | 19,980 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 54/55 |
69,285 | 45,328 | 41,970 | 3,358 | 31,900 | 33,262 | เกินแผน |
ปี 55/56 |
55,268 | 31,469 | 28,649 | 2,820 | 23,570 | 21,424 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 56/57 |
56,872 | 33,069 | 29,575 | 3,494 | 20,566 | 21,704 | เกินแผน |
ปี 57/58 |
48,392 | 24,526 | 21,652 | 2,874 | 13,784 | 14,218 | เกินแผน |
ปี 58/59 |
43,838 | 20,035 | 17,602 | 2,433 | 11,420 | 11,526 | เกินแผน |
ฤดูแล้ง | ปริมาณน้ำทั้งหมด | ปริมาณน้ำใช้การได้ | ภูมิพล+สิริกิติ์ | แควน้อย | ป่าสักชลสิทธิ์ | แม่กลอง | แผนการใช้น้ำ | ผลการใช้น้ำ |
|
ปี 51/52 |
19,343 | 12,690 | 10,736 | 0 | 954 | 1,000 | 9,550 | 10,881 | เกินแผน |
ปี 52/53 |
17,875 | 11,186 | 8,720 | 519 | 947 | 1,000 | 8,000 | 10,339 | เกินแผน |
ปี 53/54 |
18,529 | 11,827 | 9,628 | 739 | 960 | 500 | 8,500 | 8,409 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 54/55 |
24,849 | 18,099 | 16,239 | 900 | 960 | 0 | 13,220 | 14,751 | เกินแผน |
ปี 55/56 |
17,771 | 11,075 | 8,612 | 689 | 774 | 1,000 | 9,000 | 9,043 | เกินแผน |
ปี 56/57 |
15,849 | 9,153 | 6,343 | 851 | 959 | 1,000 | 5,300 | 7,265 | เกินแผน |
ปี 57/58 |
13,473 | 6,777 | 5,216 | 744 | 817 | - | 2,900 | 4,113 | เกินแผน |
ปี 58/59 |
10,943 | 4,247 | 3,240 | 370 | 637 | - | 3,200 | 3,095 | ต่ำกว่าแผน |
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://wmsc.rid.go.th/
ข้อมูลโดย : กรมชลประทาน
ช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 กรมชลประทานได้วางแผนการเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้งทั้งประเทศ ทั้งสิ้น 1.59 ล้านไร่ แต่มีการเพาะปลูกจริง 4.013 ล้านไร่ คิดเป็น 253% ซึ่งเกินจากแผนไปถึง 2.423 ล้านไร่ ทั้งนี้มีการปลูกข้าวนาปรังเกินแผนไป 2.375 ล้านไร่ หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก มีการเพาะปลูกพืชเกินแผนที่วางไว้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียเงหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ มีการเพาะปลูกอยู่ในแผน แต่ทั้งนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการเพาะปลูกข้าวนาปรังเกินแผนที่วางไว้ สำหรับในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา กรมชลประทานได้ประกาศขอความร่วมมืองดทำนาปรัง แต่ยังคงมีเกษตรกรปลูกข้าวนาปรังจำนวนรวมทั้งสิ้น 1.987 ล้านไร่ แต่หากเปรียบเทียบช่วงฤดูแล้ง ปี 56/57 ปี 57/58 และปี 58/59 จะเห็นได้ว่าปี 58/59 เกษตรกรทำนาปรังน้อยกว่าปีอื่น ๆ ค่อนข้างมาก
แผน/ผล การเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้ง
แนวโน้ม "ไทย" กับ...ภัยแล้งปี′59 [ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ : 4 มกราคม 2559 เวลา 11:00 น.]
ปี 2558 มักจะได้ยินการกล่าวขานว่าไทยจะประสบกับภาวะภัยแล้งมาโดยตลอด เพราะภัยแล้งเป็นที่มาของภัยด้านอื่นๆ สารพัด โดยเฉพาะภัยทางเศรษฐกิจ เนื่องมาจากประเทศไทยต้องพึ่งพาสินค้าทางการเกษตร ต้องอาศัยน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีน้ำเศรษฐกิจก็ไม่ขับเคลื่อน สังคมก็ไม่เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวน้อย ส่งผลให้เกิดอาการหวดกลัวว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่
นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิศาสตร์สารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสดา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) สะท้อนถึงภาวะภัยแล้งว่า จากการติดตามตัวชี้วัดทำให้ทราบว่าในฤดูฝนของปี 2558 ไทยจะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญรุนแรงขึ้นเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งเกาหลีเหนือ จีน ไต้หวัน และอินเดีย "อาจส่งผลไปจนถึงปี 2559 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะรุนแรงเท่ากับปี 2540 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เอลนิโญครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้ยังมีปัจจัยอีก 2 ประการ คือ การแปรผันของมวลน้ำในมหาสมุทรอินเดียที่อาจบรรเทาภัยแล้งได้บ้าง โดยอาจทำให้เกิดฝนระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2558 อีกปัจจัยคือ ปรากฏการณ์ MJO (Madden-Julian Oscillation) ที่จะทำให้เกิดมรสุมรุนแรงขึ้นเป็นช่วงๆ วงรอบสั้นๆ ประมาณ 30-60 วัน การคาดการณ์ปริมาณฝนในเดือนกรกฎาคม 2558 จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 18% เดือนสิงหาคม 2558 จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 10% และเดือนกันยายน 2558 จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 5-6% เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2558 จะกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย" นายอานนท์ระบุ
การประปานครหลวง ยันน้ำเหนือเพียงพอผลักดันน้ำเค็ม ตลอดหน้าแล้ง หากปริมาณใช้น้ำไม่พุ่งสูงฉับพลันน้ำประปาไม่กร่อยแน่ ล่าสุดค่าความเค็มปกติ
จากกรณีในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อมูลเรื่องปัญหาภัยแล้งโดยระบุว่า ช่วงฤดูแล้งนี้น้ำจากทางภาคเหนือจะมีไม่เพียงพอสำหรับผลักดันน้ำทะเล ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำประปากร่อยหรือเค็มในพื้นที่หลายส่วนของกรุงเทพมหานคร พร้อมแนะนำให้รีบจัดหาเครื่องกรองน้ำ RO แบบมีเรซิ่นช่วยกรองความเค็ม เพราะน้ำบรรจุขวดที่ขายอยู่ตามท้องตลาดก็อาจจะเค็มเช่นกันนั้น
ล่าสุด (26 กุมภาพันธ์ 2559) กระปุกดอทคอม ได้สอบถามข้อเท็จจริงไปยัง การประปานครหลวง (กปน.) โดยเจ้าหน้าที่จากการประปานครหลวง ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า จากข้อมูลของกรมชลประทานซึ่งเป็นผู้จัดสรรปริมาณน้ำดิบล่าสุด คาดว่าปริมาณน้ำน่าจะมีเพียงพอในช่วงฤดูแล้งนี้หากทุกคนช่วยกันใช้น้ำประหยัด โดยประเมินจากสถิติการใช้ที่ผ่านมา หากหลังจากนี้ไม่มีการใช้น้ำสูงขึ้นอย่างมาก ปริมาณน้ำจากทางเหนือก็จะมีเพียงพอในการผลักดันน้ำทะเลไม่ให้เข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำได้
ทั้งนี้ จากรายงานคุณภาพน้ำ กปน. ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาล่าสุดวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ค่าความเค็ม ณ สถานีสูบน้ำดิบสำแล จ.ปทุมธานี อยู่ที่ 0.15 กรัม/ลิตร (หากค่าความเค็มเกิน 0.5 กรัม/ลิตร จึงจะสามารถรับรู้รสกร่อย ส่วนปริมาณน้ำที่ไหลผ่าน อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่ที่ 87 ลบ.ม./วินาที ซึ่งอยู่ในระดับปกติในการผลักดันน้ำเค็มไม่ให้ไหลเข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำประปาได้
วิกฤต เขื่อนภูมิพล-เขื่อนเจ้าพระยา น้ำเหลือน้อย วอนช่วยประหยัดน้ำ [ มติชนออนไลน์ : 26 มกราคม 2559 ]
แล้งวิกฤตหนัก เขื่อนเจ้าพระยา เหลือน้ำใช้แค่ 174 วัน สันดอนทรายโผล่ ด้านเขื่อนภูมิพล เหลือน้ำน้อยที่สุดตั้งแต่สร้างเขื่อนมา วอนประชาชนช่วยประหยัดน้ำ
วันที่ 26 มกราคม 2559 มีรายงานว่า ระดับน้ำที่สถานีวัดน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท มีระดับน้ำเหนือเขื่อนอยู่ที่ 13.90 เมตร ต่ำกว่าระดับวิกฤต 10 เซนติเมตร เป็นสัปดาห์ที่ 3 โดยเขื่อนเจ้าพระยาคงอัตราการระบายน้ำไว้ที่ 75 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อรักษาระบบนิเวศ ผลักดันน้ำเค็ม ผลิตน้ำประปาในจังหวัดภาคกลางและกรุงเทพมหานคร ส่วนการส่งน้ำเพื่อการเกษตรถูกระงับ เนื่องจากน้ำที่มีอยู่อาจใช้ได้อีกเพียง 174 วัน บริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา มีสันดอนทรายโผล่ขึ้นกลางแม่น้ำยาวหลายกิโลเมตร
โดยนายเอกศิษฐ์ ศักดิ์ดีธนาภรณ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนเจ้าพระยา เปิดเผยว่า จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ให้ช่วยกันประหยัดน้ำอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถมีน้ำใช้ไปจนถึงฤดูฝนหน้าหรือประมาณเดือนกรกฎาคม 2559
ด้านสถานการณ์ภัยแล้งในเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เหลือน้ำอยู่พียง 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จากความจุเขื่อนกว่า 13,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าเหลือน้อยที่สุดตั้งแต่สร้างเขื่อนมา และปริมาณน้ำจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะต้องปล่อยน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศวันละ 4.4 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้อีก 3 เดือนข้างหน้า น้ำจะเหลือเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น
ทั้งนี้สำหรับน้ำที่เหลืออยู่ในเขื่อนภูมิพลปัจจุบัน เพียงพอที่จะประทังให้ผ่านพ้นหน้าแล้งปีนี้ไปได้ แต่แทบจะเหลือน้ำติดก้นอ่าง อย่างไรก็ตามคาดว่าถ้าจะสะสมน้ำให้กลับมาเต็มเขื่อนอาจต้องใช้เวลากว่า 4 ปี
โคราชแล้งขั้นหนัก เหลือน้ำใช้อีกเพียง 15 วัน เร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผันน้ำจากลำน้ำมูลมาใช้ชั่วคราว ต่อเวลาได้อีก 2 สัปดาห์
วันที่ 10 มีนาคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ นายนพดล พุ่มกันภัย ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขานครราชสีมา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดตามแหล่งน้ำดิบการประปาส่วนภูมิภาค สาขานครราชสีมา บริเวณติดกับลำน้ำมูล บ้านโนนไม้แดง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา
โดย นายนพดล กล่าวว่า เหลือน้ำดิบเพียง 200,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากความจุกักเก็บทั้งหมด 2,800,000 ลบ.ม. ซึ่งจะใช้งานได้แค่ 15 วันเท่านั้น และจะไม่สามารถสูบน้ำได้อีก สำหรับการแก้ปัญหานั้นได้ประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผันน้ำจากลำน้ำมูล บริเวณใต้จุดสูบน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค ก่อนถึงฝายบ้านส้ม ต.ช้างทอง อ.เฉลิมพระเกียรติ โดยจะนำน้ำดังกล่าวขึ้นมาใช้ในการผลิตน้ำประปาเป็นการชั่วคราว
นายนพดล ระบุว่า จากการสำรวจพบว่าที่ฝายดังกล่าวมีน้ำกักเก็บไว้อยู่ปริมาณหนึ่ง คาดว่าจะนำมาใช้งานได้ประมาณ 150,000 ลบ.ม. สามารถอยู่ต่อได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ และจะลดแรงดันปล่อยน้ำให้ประชาชนในช่วงกลางคืน สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น ได้ขอซื้อน้ำประปาจากการประปาเทศบาลนครนครราชสีมาที่สูบน้ำจากลำแชะมาใช้งาน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการต้องใช้เวลาอีกระยะ
เขื่อนอุบลรัตน์ วิกฤตหนัก เหลือน้ำใช้การได้อีก 23 วัน วอนช่วยกันประหยัดน้ำ [ สำนักข่าวไทย : 17 มีนาคม 2559 ]
อธิบดีกรมชลประทาน เผย สถานการณ์น้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ยังวิกฤต มีปริมาณน้ำใช้การได้อีก 23 วัน ขณะที่ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยาเหลือน้ำใช้การได้ถึงเดือนกรกฎาคมนี้
วันที่ 17 มีนาคม 2559 นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงสถานการณ์ปริมาณน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนยังวิกฤต ในแต่ละวันต้องระบายน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศ ประมาณวันละ 5 แสนลูกบาศก์เมตร ไม่มีการส่งน้ำเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตร ซึ่งมีปริมาณน้ำใช้การได้อีกประมาณ 23 วัน จากนั้นจะนำน้ำสำรองในอ่างฯ มาใช้ จึงขอให้ทุกคนช่วยกันประหยัดน้ำ
ขณะที่สถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์, เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) เหลือน้ำใช้การได้ถึงเดือนกรกฎาคม 2559 อีกประมาณ 2,694 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีการระบายน้ำจาก 4 เขื่อนหลักมาใช้รวมกันประมาณวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร
ส่วนพื้นที่ทำนาปรังยังรอเก็บเกี่ยวอีกกว่า 620,000 ไร่ จากทั้งหมด 1,900,000 ไร่ น้อยกว่า 2 ปีที่ผ่านมา และขอยืนยันว่าหากทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัดน้ำอย่างเต็มที่ ก็ไม่จำเป็นต้องนำน้ำจากก้นอ่างมาใช้อย่างที่หลายคนวิตกกัน
วิกฤตภัยแล้ง เขื่อนเจ้าพระยาเหลือน้ำใช้ 126 วัน กระทบฝูงลิงอดอาหาร [ มติชนออนไลน์ : 27 มีนาคม 2559 ]
เขื่อนเจ้าพระยาประกาศภัยแล้ง คาดมีน้ำเหลือใช้ได้อีกประมาณ 126 วัน กระทบถึงฝูงลิงแสมกว่า 1,000 ตัว ตกอยู่ในสภาวะหิวโซขาดอาหาร
วันที่ 27 มีนาคม 2559 มีรายงานว่า ผู้อำนวยการโครงการเขื่อนเจ้าพระยา ได้แจ้งว่า จากการตรวจสอบระดับน้ำในแมื่น้ำเจ้าพระยา บริเวณจุดวัดน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท วัดได้ 14.40 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เหนือจุดวิกฤตมาตรฐานมาเพียง 40 เซนติเมตร ในขณะที่ระดับน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่ 5.96 เมตร โดยทางเขื่อนเจ้าพระยายังคงอัตราการระบายน้ำไว้ที่ 75 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อผลักดันน้ำเค็มไปรักษาระบบนิเวศและการผลิตน้ำประปาตามจังหวัดในภาคกลาง ซึ่งคาดว่าจะมีน้ำเหลือใช้ได้อีกประมาณ 126 วัน นับจากนี้
ทั้งนี้ วิกฤตภัยแล้งดังกล่าวยังส่งผลไปถึงฝูงลิงแสมจำนวนกว่า 1,000 ตัว ที่อยู่อาศัยในป่าหลังวัดพิกุลงาม ต.คุ้งสำเภา อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ตกอยู่ในสภาวะขาดอาหาร เนื่องจากลูกไม้ที่เคยออกผลร่วงโรย จนเริ่มขาดแคลน ไม่ติดผล
ทางเจ้าอาวาสวัดพิกุลงาม เผยว่า ฝูงลิงจำนวนดังกล่าวต้องมาอาศัยข้าวก้นบาตรเพื่อประทังชีวิตให้รอด แต่ด้วยลิงมีเป็นจำนวนมาก อาหารคงไม่เพียงพอ จึงวอนความเมตตาจากผู้ใจบุญ ทำทานอาหารและผลไม้ให้กับฝูงลิง อีกทั้งยังเป็นการช่วยอนุรักษ์พันธุ์ลิงแสมฝูงสุดท้ายของวัดไว้ให้ลูกหลาน รุ่นหลังได้ดูได้ศึกษาต่อไป
อ่างเก็บน้ำคลองไร เนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ พื้นที่ ต.เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง และต.บางขาม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี แห้งขอดในรอบ 20 ปี ชาวบ้านกว่า 100 หลังคาเรือนเดือดร้อนหนัก
วันที่ 19 เมษายน 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสภาวะภัยแล้งส่งผลกระทบหนัก อ่างเก็บน้ำคลองไร เนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ ใน ต.เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง และต.บางขาม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี น้ำแห้งสนิทในรอบกว่า 20 ปี ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่เคยใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองไร ในการอุปโภค บริโภค และใช้ทำการเกษตร เดือดร้อนจำนวนมาก กว่า 100 หลังคาเรือน อย่างไรก็ดี ทางองค์การบริหารส่วนตำบลเขาสมอคอน ได้มีการจัดนำรถบรรทุกน้ำออกแจกจ่ายน้ำให้แก่ชาวบ้านแล้วในเบื้องต้น
ทั้งนี้จากการลงพื้นที่ตรวจสอบอ่างเก็บน้ำคลองไร พบว่า เกิดจากการคลองมีความตื้นเขิน จึงทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้พอ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการส่งเรื่องไปยังจังหวัด เพื่อของบประมาณในการขุดลอกคลองเพื่อเก็บน้ำต่อไป