อิทธิพลจากร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณประเทศพม่า ตอนบนของประเทศไทย ประเทศลาวและประเทศเวียดนาม เกือบตลอดทั้งเดือน รวมทั้งมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังค่อนข้างแรงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน "เซินติญ" (SON-TINH) ในช่วงกลางเดือน ส่งผลให้เดือนกรกฎาคม 2561 เกิดสถานการณ์ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศลาวเกือบตลอดทั้งเดือน ซึ่งจากรายงานข้อมูลปริมาณฝนจากสถานีโทรมาตรตรวจอากาศของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) ที่ติดตั้งอยู่บริเวณประเทศลาว ตรวจวัดปริมาณฝนสะสมรายวันสูงสุดได้ถึง 487 มิลลิเมตรต่อวัน ที่สถานีน้ำอู เมืองหลวงพระบาง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 รองลงมาคือที่สถานีเซบั้งไฟ แขวงคำม่วน เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ปริมาณฝนสะสม 354 มิลลิเมตรต่อวัน รองลงมาคือที่สถานีเซบั้งไฟอีกเช่นกัน เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 วัดปริมาณฝนสะสมได้ถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน  ซึ่งถือเป็นปริมาณฝนที่สูงมาก และเมื่อคำนวณเป็นปริมาณฝนสะสมรายเดือน พบว่าเป็นประมาณฝนที่สูงมากเช่นกัน โดยมีหลายสถานีตรวจวัดปริมาณฝนได้เกิน 1,000 มิลลิเมตร โดยที่สถานีเซบั้งไฟ แขวงคำม่วน มีปริมาณฝนสะสมสูงสุดถึง 3,784 มิลลิเมตร รองลงมาคือสถานีน้ำกระดิ่ง แขวงบอลิคำไซ ปริมาณฝนสะสม 2,451 มิลลิเมตร และสถานีน้ำอู เมืองหลวงพระบาง วัดปริมาณฝนสะสมได้ 2,072 มิลลิเมตร
          จากสถานการณ์ฝนตกหนักที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่พื้นที่กักเก็บน้ำของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ส่งผลทำให้ในคืนวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เขื่อนดินย่อยกั้นช่องเขา ส่วน D (Saddle Dam D) ขนาดสันเขื่อนกว้าง 8 เมตร ยาว 770 เมตร และสูง 16 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเสริมการกั้นน้ำรอบอ่างเก็บน้ำเซน้ำน้อย เกิดการทรุดตัวและเกิดรอยร้าว ทำให้มวลน้ำประมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลทะลักไปยังพื้นที่ท้ายน้ำ ลงสู่ลำน้ำเซเปียน ที่อยู่ห่างจากพื้นที่เขื่อนประมาณ 5 กิโลเมตร มวลน้ำดังกล่าวได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน เมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ เป็นบริเวณกว้าง โดยระดับน้ำโดยเฉลี่ยมีความสูงถึง 15 เมตร ซึ่งจากการสังเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-1 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 พบพื้นที่ถูกน้ำท่วม 55,248 ha ( ประมาณ 345,300 ไร่)
          ทั้งนี้ Emergency Reponse Coordination Centre (ERCC) ได้รายงานความเสียหายเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 พบประชาชนลาวได้รับผลกระทบประมาณ 16,000 คน มีผู้เสียชีวิต 27 คน สูญหาย 123 คน ไร้ที่อยู่อาศัย 6,600 คน









Created by Meow using WikiProject Tropical cyclones/Tracks. The background image is from NASA. Tracking data is from NOAA

          พายุดีเปรสชัน "เซินติญ" (SON-TINH) ก่อตัวขึ้นบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ทางด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 หลังจากนั้นก็เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกผ่านเหนือเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ เข้าสู่ทะเลจีนใต้ และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนในวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 หลังจากนั้นได้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างต่อเนื่องผ่านเกาะไหหลำในวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ในขณะที่ยังเป็นพายุโซนร้อน และได้เคลื่อนตัวลงอ่าวตังเกี๋ยในวันเดียวกัน ต่อมาในวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 พายุดังกล่าวได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม และอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันพร้อมกับเคลื่อนตัวเข้าสู่ตอนบนของประเทศลาว และอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในวันเดียวกัน ต่อมาหย่อมความกดอากาศต่ำได้เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออก ผ่านตอนบนของประเทศเวียดนาม มุ่งหน้าลงสู่อ่าวตังเกี๋ยและทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันอีกครั้งในวันที่ 22 กรกฎาคม 2561 และได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนในวันที่ 22 กรกฎาคม 2561 พร้อมเคลื่อนตัวเข้าสู่ทางตอนใต้ของเกาะไหหลำและเคลื่อนตัวต่อไปทางทิศเหนือของเกาะ จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 พายุดังกล่าวจึงได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำ ตามลำดับ ก่อนเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน




ข้อมูลเพิ่มเติม : https://en.wikipedia.org/wiki/2018_Pacific_typhoon_season#Tropical_Storm_Son-Tinh_(Henry)






ข้อมูลโดย : Kochi University

                    ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม Himawari-8 แสดงให้เห็นว่าช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 มีกลุ่มเมฆปกคลุมบริเวณประเทศลาวเกือบตลอดทั้งเดือน โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงกลางเดือนไปจนถึงปลายเดือน เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณดังกล่าวเกือบตลอดทั้งเดือน อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากพายุ "เซินติญ" ส่งผลทำให้มีกลุ่มเมฆหนาปกคลุมบริเวณประเทศลาวอย่างต่อเนื่อง






11/07/61 11GMT

12/07/61 11GMT

13/07/61 11GMT

14/07/61 11GMT

15/07/61 11GMT

16/07/61 17GMT

17/07/61 11GMT

18/07/61 11GMT

19/07/61 11GMT

20/07/61 11GMT

21/07/61 11GMT

22/07/61 11GMT

23/07/61 11GMT

24/07/61 11GMT

25/07/61 11GMT

26/07/61 11GMT

27/07/61 11GMT

28/07/61 11GMT

29/07/61 11GMT

30/07/61 11GMT

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/TyphoonTracking/Goes9.php







 ข้อมูลโดย : กรมอุตุนิยมวิทยา          

                    ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2561 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงเกือบตลอดทั้งเดือน ประกอบกับในช่วงต้นเดือนมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของประเทศไทย ประเทศลาว และเวียดนามเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ส่งผลทำให้มีฝนตกหนักบริเวณประเทศลาว ต่อมาในช่วงกลางเดือนร่องมรสุมดังกล่าว ได้เลื่อนลงมาพาดผ่านประเทศเมียนมาร์ ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย และประเทศลาว เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณอ่างตังเกี๋ย ประกอบกับพายุโซนร้อน "เซินติญ" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนได้เคลื่อนตัวผ่านเกาะไหหลำลงสู่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 18 ก.ค. ก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม ในวันที่ 19 ก.ค. แล้วอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน จากนั้นพายุนี้ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณประเทศลาว แล้วสลายตัวลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน ส่งผลทำให้เกิดฝนตกหนักมากในหลายพื้นที่ของประเทศลาว ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นเดือน เนื่องจากร่องมรสุมยังคงพาดผ่านประเทศเมียนมาร์ ลาว และเวียดนามตอนบน ประกอบกับพายุ "เซินติญ" ที่สลายตัวไป ได้ทวีกำลังแรงขึ้นไเป็นพายุดีเปรสชันอีกครั้ง ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2560 ส่งผลให้ช่วงเดือนกรกฎาคม ประเทศลาวมีฝนตกหนักต่อเนื่องเกือบตลอดทั้งเดือน


11/07/61

12/07/61

13/07/61

14/07/61

15/07/61

16/07/61

17/07/61

18/07/61

19/07/61

20/07/61

21/07/61

22/07/61

23/07/61

24/07/61

25/07/61

26/07/61

27/07/61

28/07/61

29/07/61

30/07/61


ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/hmain.php?page=/TyphoonTracking/show_weather_map.php







 ข้อมูลโดย : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)

                    แผนที่แสดงความกดอากาศที่ระดับความสูง 1.5 กิโลเมตร จากระดับน้ำทะเล ณ เวลา 07.00 น. แสดงให้เห็นว่าร่องความกดอากาศต่ำ (บริเวณพื้นที่สีเหลือง) เลื่อนลงมาพาดผ่านตอนบนของประเทศ พม่า ไทย ลาว และเวียดนาม อย่างต่อเนื่อง และพายุดีเปรสชัน "เซินติญ" (พื้นที่วงกลมสีน้ำตาลละสีส้ม) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ได้ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อนพร้อมเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 (พื้นที่วงกลมสีแดง) และสลายตัวไปในวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 (พื้นที่วงกลมสีแดงหายไป) หลังจากนั้นได้ทวีกำลังแรงขึ้นมาอีกครั้งในวันที่ 22 กรกฎาคม 2561 (มีวงกลมสีแดงกลับมาอีกครั้งบริเวณอ่าวตังเกี๋ยในช่วงวันที่ 22-23 กรกฎาคม 2560) หลังจากนั้นพายุดังกล่าวได้สลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน ในช่วงวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2561 (พื้นที่สีแดงหายไป เหลือเพียงสีส้มที่ปกคลุมประเทศจีนตอนใต้)


11/7/61

12/7/61

13/7/61

14/7/61

15/7/61

16/7/61

17/7/61

18/7/61

19/7/61

20/7/61

21/7/61

22/7/61

23/7/61

24/7/61

25/7/61

26/7/61

27/7/61

28/7/61

29/7/61

30/7/61


ข้อมูลเพิ่มเติม : http://live1.hii.or.th/wrf_image/weather_map.php, http://live1.hii.or.th/wrf_image/weather_map_latest.php?img=pressure_upperwind_1500m_low_latest.flv








 ข้อมูลโดย : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)

                    ภาพแผนที่แสดงความเร็วลมที่ระดับความสูง 1.5 กิโลเมตร จากระดับน้ำทะเล แสดงให้เห็นว่ามรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือนไปจนถึงประมาณวันที่ 23 กรกฎาคม 2561
โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดพายุ "เซินติญ" เนื่องจากอิทธิพลของพายุส่งผลทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น โดยความเร็วลมส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนบริเวณที่เกิดพายุความเร็วลมจะมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ที่พายุปกคลุมในช่วงวันที่ 17-18 กรกฎาคม 2561 ความเร็วลมอยู่ที่ประมาณ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับบริเวณประเทศลาวมีลมพัดแรงในวันที่ 16-17, 19-23 กรกฎาคม 2561 ความเร็วลมสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นเกิดลมแรงในบางพื้นที่เท่านั้น


11/7/61

12/7/61

13/7/61

14/7/61

15/7/61

16/7/61

17/7/61

18/7/61

19/7/61

20/7/61

21/7/61

22/7/61

23/7/61

24/7/61

25/7/61

26/7/61

27/7/61

28/7/61

29/7/61

30/7/61



ข้อมูลเพิ่มเติม : http://live1.hii.or.th/wrf_image/weather_map.php, http://live1.hii.or.th/wrf_image/weather_map_latest.php?img=pressure_upperwind_1500m_low_latest.flv







ข้อมูลโดย : Ocean Weather Inc.

                    แผนภาพแสดงความสูงของคลื่นและทิศทางของคลื่นแสดงให้เห็นว่า จากอิทธิพลของพายุ "เซินติญ" (SON-TINH) ส่งผลให้ความสูงของคลื่นบริเวณทะเลจีนใต้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ความสูงของคลื่นประมาณ 2-3 เมตร ส่วนบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกที่คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ช่วงวันที่ 19-21 กรกฎาคม 2561 เป็นอิทธิพลจากพายุ "อ็อมปึล" (AMPIL)


11/7/61

12/7/61

13/7/61

14/7/61

15/7/61

16/7/61

17/7/61

18/7/61

19/7/61

20/7/61

21/7/61

22/7/61

23/7/61

24/7/61

25/7/61

26/7/61

27/7/61

28/7/61

29/7/61

30/7/61





ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/show_wave.php?zone=Ind







 ข้อมูลโดย : กรมอุตุนิยมวิทยา

                    เครือข่ายภาพเรดาร์ตรวจวัดปริมาณฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา เรดาร์สกลนคร และอุบลราชธานี รัศมี 240 กิโลเมตร ครอบคลุมถึงบริเวณประเทศลาว ตรวจพบกลุ่มฝนตกหนักถึงหนักมากกระจุกตัวค่อนข้างต่อเนื่องเกือบทุกวัน ส่งผลทำให้ปริมาณฝนสะสมค่อนข้างสูงมาก


เรดาร์สกลนคร


11/07/61 11:30GMT

12/07/61 04:30GMT

13/07/61 10:30GMT

14/07/61 17:30GMT

15/07/61 17:30GMT

16/07/61 16:30GMT

17/07/61 05:30GMT

18/07/61 17:30GMT

19/07/61 17:30GMT

20/07/61 14:30GMT

21/07/61 15:30GMT

22/07/61 04:30GMT

23/07/61 11:30GMT

24/07/61 17:30GMT

25/07/61 11:30GMT

26/07/61 16:30GMT

27/07/61 17:30GMT

28/07/61 17:30GMT

29/07/61 17:30GMT

30/07/61 1:30GMT


ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/radar/show_sknradar.php



เรดาร์อุบลราชธานี

11/07/61 02:40GMT

12/07/61 15:40GMT

13/07/61 17:40GMT

14/07/61 17:40GMT

15/07/61 13:40GMT

16/07/61 16:40GMT

17/07/61 07:40GMT

18/07/61 13:40GMT

19/07/61 08:40GMT

20/07/61 16:40GMT

21/07/61 15:40GMT

22/07/61 15:40GMT

23/07/61 13:40GMT

24/07/61 16:40GMT

25/07/61 15:40GMT

26/07/61 13:40GMT

27/07/61 17:40GMT

28/07/61 15:40GMT

29/07/61 13:40GMT

30/07/61 12:40GMT


http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/radar/show_ubolradar.php








 ข้อมูลโดย : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)


          รายงานข้อมูลปริมาณฝนจากสถานีโทรมาตรตรวจอากาศของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) ที่ติดตั้งอยู่บริเวณประเทศลาว ช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 พบสถานการณ์ฝนตกหนักถึงหนักมาก เกือบตลอดทั้งเดือน โดยปริมาณฝนสะสมรายวันสูงสุด วัดได้ที่สถานีน้ำอู เมืองหลวงพระบาง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 ปริมาณฝนสะสมสูงถึง 487 มิลลิเมตรต่อวัน รองลงมาคือที่สถานีเซบั้งไฟ แขวงคำม่วน เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ปริมาณฝนสะสม 354 มิลลิเมตรต่อวัน รองลงมาคือที่สถานีเซบั้งไฟอีกเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 วัดปริมาณฝนสะสมได้ถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน
          สำหรับปริมาณฝนสะสมรายเดือนสูงสุด วัดได้ที่สถานีเซบั้งไฟ แขวงคำม่วน ปริมาณฝนสะสมสูงถึง 3,784 มิลลิเมตร รองลงมาคือสถานีน้ำกระดิ่ง แขวงบอลิคำไซ ปริมาณฝนสะสม 2,451 มิลลิเมตร และสถานีน้ำอู เมืองหลวงพระบาง วัดปริมาณฝนสะสมได้ 2,072 มิลลิเมตร รายละเอียดเพิ่มเติมตามกราฟและตารางด้านล่าง

ตารางแสดงปริมาณฝนสะสมรายวันบริเวณประเทศลาว ช่วงเดือนกรกฎาคม 2561

วันที่
สถานี
ปริมาณฝนรายวัน (มม.)
1/7/2018 ต้นผึ้ง
88
3/7/2018 ต้นผึ้ง
78
4/7/2018 น้ำกระดิ่ง
41
5/7/2018 น้ำกระดิ่ง
115
6/7/2018 น้ำกระดิ่ง
64
7/7/2018 จำปาสัก
242
น้ำกระดิ่ง
138
เซบั้งไฟ
91
น้ำอู
55
ต้นผึ้ง
31
8/7/2018 เซบั้งไฟ
255
น้ำกระดิ่ง
194
ต้นผึ้ง
100
น้ำอู
92
จำปาสัก
30
9/7/2018 เซบั้งไฟ
157
จำปาสัก
109
น้ำกระดิ่ง
86
น้ำอู
43
10/7/2018 ต้นผึ้ง
139
น้ำอู
125
จำปาสัก
120
น้ำเทิน
88
น้ำกระดิ่ง
82
โรงหมอน้อย
58
เซบั้งไฟ
47
11/7/2018 โรงหมอน้อย
304
น้ำเทิน
297
ต้นผึ้ง
98
จำปาสัก
40
12/7/2018 จำปาสัก
105
13/7/2018 จำปาสัก
100
เซบั้งไฟ
55
14/7/2018 จำปาสัก
163
เซบั้งไฟ
88
15/7/2018 เซบั้งไฟ
350
น้ำกระดิ่ง
224
น้ำอู
198
จำปาสัก
110
16/7/2018 เซบั้งไฟ
354
น้ำกระดิ่ง
143
น้ำเทิน
81
โรงหมอน้อย
74
จำปาสัก
38
น้ำอู
33
17/7/2018 น้ำกระดิ่ง
90
18/7/2018 น้ำกระดิ่ง
215
น้ำอู
109
19/7/2018 น้ำอู
487
น้ำกระดิ่ง
199
โรงหมอน้อย
135
น้ำเทิน
132
ต้นผึ้ง
99
20/7/2018 น้ำอู
243
ต้นผึ้ง
122
น้ำกระดิ่ง
64
โรงหมอน้อย
31
เซบั้งไฟ
30
21/7/2018 เซบั้งไฟ
128
น้ำอู
69
น้ำกระดิ่ง
68
ต้นผึ้ง
49
22/7/2018 น้ำกระดิ่ง
45
เซบั้งไฟ
41
น้ำอู
37
23/7/2018 เซบั้งไฟ
238
ต้นผึ้ง
65
น้ำกระดิ่ง
45
24/7/2018 เซบั้งไฟ
187
น้ำอู
163
ต้นผึ้ง
84
น้ำกระดิ่ง
68
โรงหมอน้อย
66
น้ำเทิน
63
25/7/2018 เซบั้งไฟ
294
น้ำกระดิ่ง
211
จำปาสัก
76
ต้นผึ้ง
39
26/7/2018 เซบั้งไฟ
250
ต้นผึ้ง
108
น้ำอู
87
น้ำกระดิ่ง
86
น้ำเทิน
59
โรงหมอน้อย
49
27/7/2018 น้ำกระดิ่ง
197
น้ำอู
186
เซบั้งไฟ
163
28/7/2018 เซบั้งไฟ
244
ต้นผึ้ง
97
น้ำเทิน
30
29/7/2018 เซบั้งไฟ
148
ต้นผึ้ง
127
โรงหมอน้อย
91
น้ำเทิน
90
30/7/2018 เซบั้งไฟ
274
ต้นผึ้ง
77
จำปาสัก
68
น้ำอู
34
31/7/2018 จำปาสัก
116
น้ำอู
57

หมายเหตุ : รายงานเฉพาะปริมาณฝนสะสมรายวันที่ตรวจวัดได้เกิน 30 มิลลิเมตร
สีแดง หมายถึง ข้อมูลปริมาณฝนสะสมรายวัน ที่เกิน 100 มิลลิเมตร 
สีส้ม หมายถึง ข้อมูลปริมาณฝนสะสมรายวัน ระหว่าง 80-99 มิลลิเมตร 

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://job.hii.or.th/LAOS/





 
ข้อมูลโดย : NARVAL, GSMaP


          จากแผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมรายวันจากสถาบันวิจัยทหารเรืออเมริกา (NARVAL) พบว่ามีกลุ่มฝนตกหนักกระจุกตัวบริเวณประเทศลาวอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2560 มีฝนตกหนักกระจุกตัวบริเวณตอนล่างของประเทศ ต่อมาในช่วงวันที่ 16-21 กรกฎาคม 2561 มีฝนตกหนักกระจุกตัวบริเวณตอนบนของประเทศ และตั้งแต่ช่วงวันที่ 22 กรกฎาคม ไปจนถึงสิ้นเดือนมีฝนตกหนักต่อเนื่องบริเวณตอนล่างของประเทศอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงวันที่ 22-23 กรกฎาคม 2561 ที่มีฝนตกหนักมากบริเวณตอนล่างของประเทศ ซึ่งทำให้มวลน้ำจำนวนมหาศาล ไหลเข้าบริเวณโครงการเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย และส่งผลทำให้คันดินของเขื่อนย่อยกั้นช่องเขาเกิดการทรุดตัว


11/7/61 1200Z

12/7/61 1200Z

13/7/61 0000Z

14/7/61 0000Z

15/7/61 0000Z

16/7/61 1200Z

17/7/61 0000Z

18/7/61 0000Z

19/7/61 0000Z

20/7/61 0000Z

21/7/61 0000Z

22/7/61 0000Z

23/7/61 0000Z

24/7/61 0000Z

25/7/61 0000Z

26/7/61 1200Z

27/7/61 1200Z

28/7/61 0000Z

29/7/61 0000Z

30/7/61 0000Z

mm.
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/show_ssta.php



         แผนภาพแสดงข้อมูลปริมาณฝนสะสมรายวันจากดาวเทียม GSMaP ที่ผ่านการปรับค่าความเอนเอียงแล้ว แสดงให้เห็นว่าเกิดฝนตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของประเทศลาวเกือบตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะช่วงวันที่ 16-19 กรกฎาคม 2561 ที่มีฝนตกหนักมากเป็นบริเวณกว้าง


11/7/61

12/7/61

13/7/61

14/7/61

15/7/61

16/7/61

17/7/61

18/7/61

19/7/61

20/7/61

21/7/61

22/7/61

23/7/61

24/7/61

25/7/61

26/7/61

27/7/61

28/7/61

29/7/61

30/7/61

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/thaiwater_l5/public/gsmap



ภาพถ่ายจากดาวเทียม HIMAWARI-8 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 แสดงลักษณะกลุ่มเมฆ ปริมาณฝน และตำแหน่งของพายุโซนร้อน "เซินติญ" ที่เคลื่อนตัวอยู่บริเวณเกาะไหหลำ ประเทศจีน

 

 




 รายละเอียดโครงการเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย อย่างย่อ click

          จากสถานการณ์ฝนตกหนักบริเวณประเทศลาวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้มีปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่พื้นที่กักเก็บน้ำของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ส่งผลทำให้ในคืนวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เขื่อนดินย่อยกั้นช่องเขา ส่วน D (Saddle Dam D) ขนาดสันเขื่อนกว้าง 8 เมตร ยาว 770 เมตร และสูง 16 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเสริมการกั้นน้ำรอบอ่างเก็บน้ำเซน้ำน้อย เกิดการทรุดตัวและเกิดรอยร้าว ทำให้มวลน้ำประมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลทะลักไปยังพื้นที่ท้ายน้ำ ลงสู่ลำน้ำเซเปียน ที่อยู่ห่างจากพื้นที่เขื่อนประมาณ 5 กิโลเมตร มวลน้ำดังกล่าวได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน เมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ เป็นบริเวณกว้าง โดยระดับน้ำโดยเฉลี่ยมีความสูงถึง 15 เมตร ทำให้มีประชาชนจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย







ข้อมูลโดย : Mekhong River Commission

          สถานการณ์ฝนตกหนักที่เกิดขึ้น ส่งผลทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งบริเวณประเทศลาว ประเทศไทย รวมถึงประเทศกัมพูชา รายงานสถานการณ์น้ำจากสถานีตรวจวัดระดับน้ำบริเวณแม่น้ำโขงของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekhong River Commission) พบสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งและสถานการณ์น้ำเพิ่มมากขึ้นจนอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังในหลายจุด ดังนี้
         ประเทศไทย 4 จุด ที่ 1) สถานีนครพนม 2) สถานีหนองคาย 3) สถานีมุกดาหาร 4) สถานีโขงเจียม จ. อุบลราชธานี
         ประเทศลาว 4 จุด ที่ 1) สถานีปากซัน (Paksane) แขวงบอลิคำไซ 2) สถานีท่าแขก (Thakhek) แขวงคำม่วน 3) สถานีสะหวันนะเขต (Savannakhet) 4) สถานีปากเซ (Pakse) แขวงจำปาสัก
         ประเทศกัมพูชา 4 จุด ที่ 1) สถานีสตึงแตรง (Stung Treng) 2) สถานีกระแจะ (Kratie) 3) สถานีกำปงจาม (Kampong Cham) 4) สถานี Koh Khel (Bassac)
ทั้งนี้บริเวณตอนกลางถึงตอนล่างของแม่น้ำ ตั้งแต่บริเวณเมืองสะหวันนะเขต ประเทศลาว ไปจนถึง Koh Khel (Bassac) ประเทศกัมพูชา ระดับน้ำเริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงวันที่ 9-10 กรกฎาคม 2561 แต่บริเวณตอนบนของแม่น้ำบริเวณประเทศไทยและประเทศลาว ตั้งแต่สถานีหนองคายไปจนถึงมุกดาหาร ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงประมาณวันที่ 15-16 กรกฎาคม 2561 และมีสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งเพียง 5 สถานี และเป็นการล้นตลิ่งเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประกอบด้วย สถานีนครพนม หนองคาย มุกดาหาร โขงเจียม และปากเซ

แผนที่แสดงจุดที่เกิดสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งและน้ำเพิ่มสูงขึ้นมากบริเวณแม่น้ำโขงทั้งฝั่งประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา




ข้อมูลเพิ่มเติม : http://ffw.mrcmekong.org/






ข้อมูลโดย : European Commission - Emergency Response Coordination Centre, adpc, esa, NASA, JAXA, UNITAR

Emergency Response Coordination Centre (ERCC) ได้รายงานสถานการณ์เขื่อนแตกและน้ำท่วมฉับพลัน ที่แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 ดังนี้

ปริมาณฝน :

ความเสียหาย :

 ทั้งนี้ รัฐบาลลาวได้ประกาศให้เมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ

       


วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ERCC ได้รายงานข้อมูลความเสียหายเพิ่มเติม ดังนี้
ความเสียหาย :


ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงพื้นที่น้ำท่วมบริเวณท้ายเขื่อนเซน้ำน้อย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 และหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจำนวน 5 แห่ง (ดาวสีแดง)


ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เขื่อนดินย่อยทรุดตัวเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 โดยในช่วงวันที่ 23-25 กรกฎาคม 2561 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบคือ บริเวณที่อยู่ริมแม่น้ำ Vang Ngao และแม่น้ำ Xe Kong  เมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ ประกอบด้วยหมู่บ้าน Ban Mai, Ban Hinlat, San Samrong-tai, Ban Thasaengchan Ban Thapun , Ban Phonsa-at, Ban Sempo, Ban Nong Kham , Ban Cheuk, Ban Inthi, Ban Thahin-tai และ Ban Ouk Tai
unitar-unosat ได้รายงานพื้นที่น้ำท่วมบริเวณประเทศลาว โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-1 ที่ถ่ายภาพบริเวณเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ ไว้เมื่อวันที่ 13 25 และ 29 กรกฎาคม 2561 โดยในวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 ก่อนเขื่อนแตก ดาวเทียมตรวจพบบริเวณที่มีน้ำท่วมประมาณ 47,717 ha  ( ประมาณ 298,381 ไร่)  แต่ในวันที่ 25 ก.ค. 61 (หลังจากเขื่อนแตก 2 วัน) ดาวเทียมตรวจพบพื้นที่น้ำท่วมเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 7,531 ha  ( ประมาณ 47,069 ไร่)  หรือเพิ่มขึ้นอีก 16% และในวันที่ 29 ก.ค. 61 พื้นที่ถูกน้ำท่วมได้ลดน้อยลง โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำเซกอง (Xe Kong River) โดยพบพื้นที่น้ำท่วมเหลือเพียง 30,435 ha ( ประมาณ 190,219 ไร่) หรือพื้นที่น้ำท่วมลดลง 45%

*หมายเหตุ : ตัวเลขพื้นที่น้ำท่วม เป็นการประมาณการจากการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายด้าน และอาจส่งผลให้ตัวเลขมีความคลาดเคลื่อน




ภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-1 เปรียบเทียบพื้นที่น้ำท่วมและปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ของวันที่ 13 25 และ 29 กรกฎาคม 2561 รายละเอียดดังนี้

วันที่ 13 กรกฎาคม 2561
-พื้นที่ถูกน้ำท่วม 47,717 ha ( ประมาณ 298,381 ไร่)
-พื้นที่น้ำในอ่างเก็บน้ำ 3,766 ha ( ประมาณ 23,538 ไร่)

วันที่ 25 กรกฎาคม 2561
-พื้นที่ถูกน้ำท่วมเพิ่มขึ้นเป็น 55,248 ha ( ประมาณ 345,300 ไร่) หรือเพิ่มขึ้นจากวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 อยู่ 16%
-พื้นที่น้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงเหลือเพียง 960 ha ( ประมาณ 6,000 ไร่)

วันที่ 29 กรกฎาคม 2561
-พื้นที่ถูกน้ำท่วมลดลงเหลือ 30,345 ha ( ประมาณ 190,219 ไร่) หรือลดลงจากวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 อยู่ 45%
-พื้นที่น้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงเหลือเพียง 702 ha ( ประมาณ 4,388 ไร่)

*หมายเหตุ : ตัวเลขพื้นที่น้ำท่วม เป็นการประมาณการจากการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายด้าน และอาจส่งผลให้ตัวเลขมีความคลาดเคลื่อน

unitar-unosat ได้รายงานพื้นที่น้ำท่วมบริเวณประเทศลาว โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียม Radarsat-2 ที่ถ่ายภาพบริเวณเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ โดยเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลภาพเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 และวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 โดยในวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ดาวเทียมตรวจพบพื้นที่น้ำท่วมและสภาพดินที่อิ่มตัวไปด้วยน้ำเนื่องจากเกิดฝนตกหนักก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เขื่อนดินย่อยทรุดตัวพังลงมา ส่วนอ่างเก็บน้ำมีน้ำอยู่เต็มอ่าง แต่ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ดาวเทียมตรวจพบพื้นที่ถูกน้ำท่วม 5,826 ha หรือประมาณ 36,413 ไร่ หรือมีน้ำท่วมเพิ่มขึ้นจากวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ประมาณ 66% เนื่องจากมีน้ำปริมาณมากไหลออกมาจากเขื่อนที่แตก ซึ่งทำให้น้ำในเขื่อนลดลงไปมาก และเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีหลายหมู่บ้านและพื้นที่การเกษตรโดยรอบถูกน้ำท่วม ประกอบด้วย Ban Hinlat, Ban Thasaengchan โดยเฉพาะ Ban Mai and Ban Samrong tai ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

*หมายเหตุ : ตัวเลขพื้นที่น้ำท่วม เป็นการประมาณการจากการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายด้าน และอาจส่งผลให้ตัวเลขมีความคลาดเคลื่อน


unitar-unosat ได้รายงานพื้นที่น้ำท่วมบริเวณประเทศลาว โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียม Radarsat-2 ที่ถ่ายภาพบริเวณเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 (หลังจากเขื่อนดินย่อยของเขื่อนเซน้ำน้อยทรุดตัว 1 วัน) ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันตลอดลำน้ำ Vang Ngao ซึ่งส่งผลกระทบกับหลายหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณท้ายน้ำที่ห่างออกไปในระยะ 50 กิโลเมตร โดยที่ดาวเทียมตรวจพบพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 14,692 ha หรือประมาณ 91,825 ไร่ หลังจากที่ฝนตกหนักในวันที่ 22 กรกฎาคม 2561 ซึ่งส่งผลทำให้เขื่อนดินย่อยเกิดการทรุดตัว หลายหมู่บ้านและพื้นที่เกษตรโดยรอบถูกน้ำท่วม


*หมายเหตุ : ตัวเลขพื้นที่น้ำท่วม เป็นการประมาณการจากการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายด้าน และอาจส่งผลให้ตัวเลขมีความคลาดเคลื่อน


unitar-unosat ได้รายงานพื้นที่น้ำท่วมบริเวณประเทศลาว โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียม TerraSar-X และ Tandem-X ที่ถ่ายภาพบริเวณเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2561 (หลังจากเขื่อนดินทรุดตัว 4 วัน) ซึ่งวิเคราะห์โดย Centro Internazionale In Monitoraggio Ambientale Research (CIMA) & Luxembourg Institute of Science and Technology (LIST) ซึ่งพบพื้นที่น้ำท่วม 7,405 ha (หรือประมาณ 46,281 ไร่)


*หมายเหตุ : ตัวเลขพื้นที่น้ำท่วม เป็นการประมาณการจากการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายด้าน และอาจส่งผลให้ตัวเลขมีความคลาดเคลื่อน


unitar-unosat ได้รายงานพื้นที่น้ำท่วมบริเวณประเทศลาว โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียม KOMPSAT-5 ที่ถ่ายภาพบริเวณเมือง Samakkhixay แขวงอัตตะปือ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2561 (หลังจากเขื่อนดินทรุดตัว 7 วัน) ซึ่งวิเคราะห์โดย Centro Internazionale In Monitoraggio Ambientale Research (CIMA) & Luxembourg Institute of Science and Technology (LIST) ซึ่งพบพื้นที่ถูกน้ำท่วม 1,617 ha หรือประมาณ 10,106 ไร่ ตลอดลำน้ำเซกอง (Xe Kong)

*หมายเหตุ : ตัวเลขพื้นที่น้ำท่วม เป็นการประมาณการจากการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายด้าน และอาจส่งผลให้ตัวเลขมีความคลาดเคลื่อน



ภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-1 แสดงปริมาณน้ำที่อยู่ในเขื่อนเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 (ก่อนเขื่อนแตก) และปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ในเขื่อนเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 (หลังเขื่อนแตก)














ลาวเขื่อนแตก! มวลน้ำ 5 พันล้าน ลบ.ม.ทะลักท่วมบ้าน ตาย-สูญหายนับร้อย [ ข่าวสด : 24 ก.ค. 61 ]

ลาวเขื่อนแตก! มวลน้ำ 5 พันล้าน ลบ.ม.ทะลักท่วมบ้าน ตาย-สูญหายนับร้อย สั่งอพยพวุ่น

ลาวเขื่อนแตก! – เขื่อนเซเปี่ยน-เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสปป.ลาว แตก ทำให้มวลน้ำ 5 พันล้านลูกบาศก์เมตร ทะลักชาวบ้านต้องอพยพหนีขึ้นหลังคา

เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก ABC Laos news ສຳນັກຂ່າວເອບີຊີລາວ รายงานว่า บริษัท PNPC แจ้งเตือนให้ประชาชนในอพยพขึ้นที่สูงโดยด่วนหลัง เกิดเหตุสันเขื่อนเซเปี่ยน-เซน้ำน้อย ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแตก ส่งผลให้มวลน้ำปริมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ไหลทะลักลงแม่น้ำเซเปี่ยน เอ่อท้นเข้าท่วมบ้านเรือน ในแขวงอัตตะปือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศลาว


รายงานระบุว่าเหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 23 ก.ค. ล่าสุดมีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบหลายร้อยหลังคาเรือน โดยระดับน้ำในบางจุดสูงถึงระดับมิดหลังคาบ้านโดย ล่าสุดยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด ขณะที่เจ้าหน้าที่เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างอยู่บนหลังคาบ้านออกจากพื้นที่

สำนักข่าวสารประเทศลาว สื่อทางการของรัฐบาลลาว รายงานว่ามวลน้ำมหาศาลจากเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ไหลท่วมเมืองสะหนามไซ อย่างกะทันหันตั้งแต่กลางดึกวันที่ 23 ก.ค. โดยคาดว่ามีชาวบ้านหลายร้อยคนสูญหาย โดยเฉพาะที่หมู่บ้านใหม่ หายไปกว่า 50 คน ทางการแขวงอัตตะปือระดมกำลังเร่งช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเร่งด่วนแล้ว ส่วนใหญ่หนีตายขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ บนหลังคาบ้าน

ทั้งนี้รายงานระบุว่าเขื่อนเซเปี่ยน-เซน้ำน้อย เริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ปลายปี 2013 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2019 โดยรายงานคาดว่าสันเขื่อนที่แตกออกดังกล่าว อาจเป็นผลจากฝนที่ตกลงมาติดต่อกันหลายฝันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา










ลำดับเหตุการณ์เขื่อนแตกในลาว รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี [ workpointnews : 25 ก.ค. 61]

ลำดับเหตุการณ์ เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก

สรุปเหตุการณ์เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ในสปป.ลาวแตก เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ถือเป็นเหตุอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปีของลาว ซึ่งทำให้ประชาชนหลายพันครอบครัวได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

26 ก.ค.61

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า นายทองลุน สีสุลิต นายกรัฐมนตรีลาว แถลงผ่านโทรทัศน์ ยืนยันตัวเลขผู้สูญหาย 131 คน เป็นคนลาวทั้งหมด ส่วนยอดผู้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ตามรายงานของ นายชนะ เมี้ยนเจริญ กงสุลประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว พบศพยืนยันได้แล้ว 26 คน ขณะที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รายงานว่า ขณะนี้มีประชาชนกว่า 3,000 คน ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเรื่องที่อยู่อาศัย เพราะต้องใช้ถนนเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว

ส่วนการค้นหาผู้รอดชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ โดยมีฝนตกลงมาอย่างหนักในบริเวณทางตอนใต้ของประเทศจากอิทธิพลมรสุม อย่างไรก็ตาม หน่วยกู้ภัยของลาวและต่างชาติ ยังคงปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายต่อไป

อย่างทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยของจีนหลายสิบนายได้เข้าร่วมภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ เมื่อวันพฤหัสบดี (26 ก.ค.)


25 ก.ค. 61

– 20.00 น. สำนักข่าว ABC Laos News รายงานว่า พบศพผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 26 คน ปรับยอดผู้สูญหาย 131 คน

– 15.30 น. นายชนะ เมี้ยนเจริญ กุงสุลไทย ณ แขวงสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานแห่งแรกของประเทศไทย ที่ลงพื้นที่ส่งความช่วยเหลือ เปิดเผยกับทีมข่าวเวิร์คพอยท์ว่า ขณะนี้มีผู้ได้รับผลกระทบแล้วเกือบ 7,000 ราย สถานการณ์ตอนนี้ยังคุมไม่ได้มาก เนื่องจากยังมีฝนตกในพื้นที่ และยังประเมินสถานการณ์ความเสียหายไม่ได้ เพราะน้ำก็ยังสูงอยู่

-หน่วยกู้ภัยในไทย เตรียมความพร้อมเพื่อไปช่วยเหลือทันทีที่ได้รับการร้องขอ ส่วนสิ่งของที่ได้รับบริจาคจากไทย คาดว่าจะถึงผู้ประสบภัยในช่วงค่ำวันนี้ (25 ก.ค.) ขณะเดียวกันทางเกาหลีใต้ กำลังส่งความช่วยเหลือตามไปทั้งสิ่งของ, ข้าวสาร-อาหารแห้ง

– คนงานไทยในพื้นที่น้ำท่วมอยู่ที่ไร่ส้ม ประมาณ 20 คน ทั้งหมดไม่ได้รับอันตราย

-รัฐบาลไทยโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบเงินจำนวน 5 ล้านบาทประมาณ 1,300 ล้านกีบ แก่นายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูต สปป.ลาว เพื่อช่วยเหลืออุทกภัยจากเหตุเขื่อนแตกใน สปป.ลาว

-กระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่ สารแสดงความเสียใจ จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดย นายกฯ ยังสั่งให้เปิดบัญชีรับบริจาคในไทย เพื่อความสะดวกของคนไทยที่ประสงค์จะช่วยเหลือชาวลาวในฐานะมิตรประเทศใกล้ชิดด้วย


24 ก.ค.61

-ทางการแขวงอัตตะปือ มีคำสั่งอพยพประชาชนหนีน้ำด่วน

-เจ้าแขวงอัตตะปือ นำทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดค้างอยู่บนหลังคาบ้าน หลังคาโบสถ์วัด หลังมวลน้ำไหลเข้าท่วมเขตบ้านใหม่ เมืองสะหนาวไซ

-สำนักข่าวท้องถิ่น เริ่มเผยภาพผู้คนจำนวนมากซึ่งหนีออกจากที่พักอาศัยไม่ทัน ต้องติดค้างอยู่บนหลังคาบ้าน

– 12.00 น. เกินขีดความสามารถของท้องถิ่น เจ้าแขวงอัตตะปือ ทำหนังสือขอความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายเพื่อกู้วิกฤติเขื่อนแตก น้ำท่วมเมืองสะหนาวไซ

-มีรายงาน ผู้สูญหายกว่า 200 ชีวิต จากเหตุน้ำท่วม 10 หมู่บ้านในเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ

-สำนักข่าวท้องถิ่น รายงานมวลน้ำทะลักท่วมพื้นที่เขตเมืองสะหนามไซเป็นวงกว้าง มีรายงานว่า ระดับน้ำมีความสูงเฉลี่ย 15 เมตร

-16.00 น. เจ้าแขวงอัตตะปือ สั่งปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำในเขื่อนเซเปียนเพิ่ม เนื่องจากปริมาณน้ำเกินความจุ ไม่เช่นนั้นตัวเขื่อนจุดอื่นจะมีปัญหา แต่มวลน้ำที่ปล่อยก็ลงมาไหลสมทบพื้นที่ต่ำมากขึ้น

– นายทองลุน สีลุลิด นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ยกเลิกประชุมคณะรัฐบาลประจำเดือนก.ค. บินด่วนลงลาวใต้ พื้นที่เมืองสะหนามไซ บัญชาการกู้วิกฤติเขื่อนแตกด้วยตัวเอง

-20.00 น. รัฐบาล สปป.ลาว ประกาศให้เมืองสะหนามไซ เขตที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ยกระดับเป็น “เขตภัยพิบัติฉุกเฉินระดับชาติ”

-ทางการลาวระดมความช่วยเหลือกับ “กู้ไพลาว 1623” ซึ่งหน่วยนี้เพิ่งกลับจากร่วมปฏิบัติการที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เพื่อช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมีติดถ้ำที่มีน้ำท่วมสูง

-สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ ส่งสาส์นแสดงความเสียใจกับ ทางการสปป.ลาว พร้อมเปิดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยระบุว่า เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย เกิดปัญหาแตกร้าว ในเวลา 20.30 น. ของวันที่ 23 ก.ค.

-บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ผู้ร่วมทุนสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เซเปียน-เซน้ำน้อย สัดส่วน 25 %  ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า สันเขื่อนที่แตกไม่กระทบกับเขื่อนหลัก และจะไม่ส่งผลต่อการเริ่มจ่ายไฟฟ้าในเดือน ก.พ. ปี 2562

-นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ แจ้งประชาชนชาวบึงกาฬ ไม่ต้องตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีผลกระทบกับชาวบ้านฝั่งไทยที่อยู่ริมแม่น้ำโขง  พร้อมประสานข้อมูลกับทางการสปป.ลาวตลอดเวลา

-22.00 น. เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียงจันทน์ ระบุว่า ทางการลาวสามารถควบคุมสถานการณ์เขื่อนแตกได้แล้ว โดยไม่มีน้ำไหลทะลักเพิ่ม และยืนยันว่า ไม่มีคนไทยเป็นอันตรายจากเหตุการณ์ครั้งนี้


23 ก.ค.61

ทางการลาวได้รับแจ้งว่า เกิดความผิดปกติขึ้นที่เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย หลังจากมีพายุฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยจุดที่เป็นปัญหาคือ เขื่อนดินย่อยกั้นช่องเขาส่วน D –ขนาดสันเขื่อนกว้าง 8 เมตร ยาว 770 สูง 16 เมตร เพื่อเสริมการกั้นน้ำรอบอ่างเก็บน้ำเซน้ำน้อย โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อยเกิดการทรุดตัว ส่งผลให้สันเขื่อนดินย่อยเกิดรอยร้าว และน้ำไหลออกไปสู่พื้นที่ท้ายเขื่อน และลงสู่ลำน้ำเซเปียน ที่อยู่ห่างจากเขื่อนราว 5 กิโลเมตร

ตลอดคืนวันที่ 23 ก.ค. บริษัท PNPC ผู้ก่อสร้างเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย แจ้งประกาศเตือนประชาชนให้อพยพขึ้นที่สูง เนื่องจากสันเขื่อน D พัง มวลน้ำราว 5,000 ล้านตัน จะไหลลงลำน้ำเซเปียน

-มวลน้ำเริ่มท่วมบ้านเรือนเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ

-อพยพประชาชนหนี ตลอดทั้งคืนต่อเนื่อง เข้าสู่เข้าวันที่ 24 ก.ค.

ทั้งนี้ สปป.ลาวเคยเผชิญกับวิกฤติน้ำท่วมครั้งรุนแรงเมื่อปี 2554 จากพายุโซนร้อนไห่หม่า ทำให้เกิดน้ำท่วมถึง 4 แขวง (จังหวัด) ได้แก่แขวงบอลิคำไซ, เซียงขวาง, เวียงจันทน์ และไซยะบูลี เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 คน ประชาชนเดือดร้อนหลักหมื่นคน โดยฝนที่ตกหนักในสปป.ลาว ปีนี้ เป็นอิทธิพลจาก “พายุเซินติญ”







ลาวเขื่อนแตกประสบภัยกว่า 1,000 ครอบครัว รัฐบาลประกาศภัยพิบัติระดับชาติ – สถานฑูตไทยเปิดบัญชีรับบริจาคช่วยเหลือ [ ไทยพับลิก้า : 25 ก.ค. 61 ]


ที่มาภาพ:เฟซบุ๊กสำนักข่าวเอบีซีลาว

เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ของประเทศลาว เกิดน้ำท่วมกะทันหันที่เมืองสนามไชย แขวงอัตตะปือ ส่งผลให้ประชาชนหลายร้อยครัวเรือนได้รับผลกระทบและสูญหายหลายร้อยคน หลังจากที่น้ำจากลำน้ำเซเปียนเอ่อล้นไหลท่วมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย แตก

สำนักข่าวสารประเทศลาว(Khaosan Pathet Lao:KPL)หรือ Laos News Agency รายงานว่า วิกฤติน้ำท่วมเกิดจากสันเขื่อนเซเปียน – เซน้ำน้อย ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแตก มวลน้ำปริมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงไหลท่วมบ้านเรือนในแขวงอัตตะปือ ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่า 6,600 คน และมีจำนวนกว่าหลายร้อยคนสูญหาย บ้านเรือนถูกกระแสน้ำพัดพาจมหายไป ระดับน้ำในหลายพื้นที่สูงจนมิดหลังคาเรือน


ที่มาภาพ:เพจLaoFAB


สันเขื่อน ที่มาภาพ:
https://www.idsala.com/2018/07/5000.html


ที่มาภาพ:เฟซบุ๊กสำนักข่าวเอบีซีลาว



รัฐบาลประกาศเขตประสบภัยระดับชาติ

สำนักข่าวสารประเทศลาวรายงานว่า ในเบื้องต้นมีประชาชนได้รับผลกระทบจำนวน 1,005 ครอบครัว มีผู้สูญหายประมาณ 34 คน ขณะนี้รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งด้านอาหาร ที่พักอาศัย เครื่องนุ่งห่ม สิ่งของจำเป็น โดยได้ร่วมกับกองทัพ สำนักงานตำรวจ พร้อมระดมยานพาหนะในทุกช่องทางเพื่อช่วยผู้ที่ยังติดค้าง

สำนักข่าวเอบีซีลาว(ABC Laos News) รายงานว่า เจ้าหน้าที่ทางการได้เร่งใช้เรืออพยพผู้ประสบภัยออกจากเมืองสันไชย ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย หลังจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมเตือนให้อพยพอยู่ที่สูง

รัฐบาลได้ประกาศให้พื้นที่น้ำท่วมเมืองสนามไชยเป็นเขตประสบภัยฉุกเฉินระดับชาติ พร้อมทั้งมอบให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ร่วมมือกับกระทรวงป้องกันประเทศ แขวงอัตตะปือ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งตั้งตั้งคณะรับผิดชอบ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ระดมทุน พร้อมรับความช่วยเหลือและบริจาคเงิน สิ่งของ ของจำเป็นจากทุกภาคส่วนทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปที่มีน้ำใจช่วยเหลือ พร้อมกับได้เปิดศูนย์รับบริจาคขึ้น



ที่มาภาพ:เพจ LaoFAB

เช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ออกจดหมายแจ้งวิกฤติน้ำท่วม อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุของโครงการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อย ทำให้น้ำไหลลงลำน้ำเซเปียน เมืองสะนามไชย แขวงอัตตะปือ นับตั้งแต่เวลา 20.00 น.ของวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 และสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในหลายพื้นที่ โดยให้หน่วยงานทุกฝ่ายให้ความช่วยเหลือประชาชน พร้อมเร่งอพยพประชาชนเร่งด่วน


ที่มาภาพ:เฟซบุ๊กสำนักข่าวสารประเทศลาว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัท SK Engineering & Construction ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ว่า สาเหตุของการทรุดตัวเกิดจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องและน้ำท่วม บริษัทฯได้ตั้งทีมงานเฉพาะกิจขึ้นและวางแผนช่วยเหลืออพยพประชาชนในหมู่บ้านใกล้เคียง รวมทั้งได้ร่วมกับรัฐบาลลาวให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย

นายกรัฐมนตรีทองลุน สีสุลิด ได้งดการประชุมคณะรัฐมนตรีและนำคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ที่ประสบภัยเพื่อติดตามการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดพร้อมพิจารณามาตรการให่ความช่วยเหลือเพิ่มเติม


นายกรัฐมนตรีทองลุน สีสุลิด ลงพื้นที่ประสบภัยติดตามการให้ความช่วยเหลือ ที่มาภาพ:เฟซบุ๊กสำนักข่าวเอบีซีลาว

สถานฑูตไทยเปิดรับบริจาค

สถานทูตไทย ณ กรุงเวียงจันทน์ เปิดรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวลาวจากเหตุเขื่อนแตกน้ำท่วมบ้านเรือน ผ่าน บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขานครหลวงเวียงจันทน์ ชื่อบัญชี Royal Embassy – Donation เลขที่บัญชี 945-1-03-115-4 ในสกุลเงินบาท และยังสามารถบริจาคที่แขวงอัตตะปือได้ผ่าน 3 บัญชีทั้งสกุลกีบและสกุลดอลลาร์ โดยสกุลกีบ ได้แก่บัญชีธนาคารการค้า เลขที่ 080110000058308001 บัญชีธนาคารพัฒนาลาว เลขที่ 0301800100000004 ส่วนสกุลดอลลาร์ผ่านบัญชีธนาคารการค้า เลขที่ 080110100021371001



ที่มาภาพ:http://vientiane.thaiembassy.org/th/news/announce/detail.php?ID=580

ราชบุรีโฮลดิ้งชี้แจง

บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ชี้แจงกรณีการทรุดตัวของเขื่อนดินย่อยโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ว่า บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากบริษัท ไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด (PNPC) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 25 เป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ตั้งอยู่ที่แขวงจำปาสัก ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เขื่อนดินย่อยกั้นช่องเขา ส่วน D (Saddle Dam D) ขนาดสันเขื่อนกว้าง 8 เมตร ยาว 770 เมตร และสูง 16 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเสริมการกั้นน้ำรอบอ่างเก็บน้ำเซน้ำน้อย โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย เกิดการทรุดตัว ส่งผลให้สันเขื่อนดินย่อยดังกล่าวเกิดรอยร้าว และน้ำไหลออกไปสู่พื้นที่ท้ายน้ำ และลงสู่ลำน้ำเซเปียน ที่อยู่ห่างจากพื้นที่เขื่อนประมาณ 5 กิโลเมตร โดยเหตุที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพายุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้มีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลเข้าสู่พื้นที่กักเก็บน้ำของโครงการฯ

ขณะนี้บริษัท ไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบเพื่อความปลอดภัยไปยังสถานที่พักพิงชั่วคราวตามแผนฉุกเฉินที่กำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้เร่งดำเนินการประเมินสถานการณ์ เพื่อที่จะเข้าไปดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วนเมื่อปริมาณน้ำในเขื่อนดังกล่าวลดลง หากมีความคืบหน้าประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป

อนึ่ง โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างมีความก้าวหน้าประมาณร้อยละ 90 และกำหนดจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2562




ที่ตั้งโครงการไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อย ที่มาภาพ:https://www.idsala.com/2018/07/5000.html




องค์กรแม่น้ำนานาชาติให้ข้อมูลเพิ่ม

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายกลุ่มได้สะท้อนความวิตกมาในหลายปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานของลาว เพราะนอกจากนี้กังวลผลต่อแม่น้ำโขงแล้วยังกังวลต่อชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจในท้องถิ่น
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2019 และขายไฟในสัดส่วน 90% ให้กับประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงรับซื้อกระแสไฟฟ้าระหว่าง PNPC กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือ EGAT ส่วนที่เหลือ 10% จะจำหน่ายผ่านเครือข่ายระหว่าง PNPC กับ Electricite du Laos

PNPC ก่อตั้งในปี 2012 โดย SK Engineering & Construction Co.,Ltd.,Korea Western Power Co., Ltd.(KOWEPO), บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และ Lao Holding State Enterprise (LHSE)องค์กรแม่น้ำนานาชาติให้ข้อมูลว่า เขื่อนแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเขื่อนขั้นบันไดเซเปียน-เซน้ำน้อย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมดห้าเขื่อน เป็นเขื่อนลักษณะที่เรียกว่า เขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ (saddle dam) หมายถึงเป็นเขื่อนเสริมพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมน้ำในอ่างเก็บน้ำที่เกิดจากเขื่อนหลัก เพื่อให้สามารถยกระดับน้ำให้สูงขึ้นและเก็บน้ำได้

โครงการแม่น้ำเซเปียนนี้ ไหลลงแม่น้ำเซกอง ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง ลงสู่แม่น้ำโขง ที่สตึงเตรง กัมพูชา

จากข้อมูลที่องค์กรแม่น้ำนานาชาติมีอยู่ บริเวณเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ ‘D’ ของโครงการเซเปียน-เซน้ำน้อยได้แตกออกประมาณสองทุ่มเมื่อคืนนี้ เขื่อนแห่งนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2562 คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 410 เมกะวัตต์ โดยจะขายให้ประเทศไทย 370 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่มีสัญญาก่อสร้างในลักษณะ “สร้าง-โอนให้-ให้บริการ” (build operate transfer – BOT) โดยมีอายุสัมปทาน 27 ปี เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัทจากเกาหลีใต้และไทย ได้แก่ บริษัท SK Engineering and Construction (SK E&C) – จากเกาหลีใต้; บริษัท Korea Western Power (KOWEPO) – จากเกาหลีใต้; บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (RATCH) – จากไทย และ Lao Holding State Enterprise (LHSE)

เมื่อวานนี้ (23 กรกฎาคม) หัวหน้าโครงการจัดสรรที่อยู่ใหม่ให้ประชาชนของโครงการนี้ส่งจดหมายไปถึงหัวหน้าแผนกจัดสรรที่อยู่ใหม่ของโครงการที่แขวงจำปาสักและแขวงอัตตะปือ โดยระบุว่าสภาพการณ์อันตรายอย่างมาก เนื่องจากมีน้ำหลากจากแนวสันเขื่อน และเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ D ใกล้จะแตกออก จดหมายระบุว่า หากเขื่อนแตก น้ำปริมาณห้าพันล้านตันจะไหลไปด้านท้ายน้ำเข้าสู่แม่น้ำเซเปียน ในจดหมายระบุให้มีการเร่งเตือนฉุกเฉินแจ้งให้หมู่บ้านด้านท้ายน้ำอพยพและย้ายไปอยู่ในที่สูง

ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังมีการออกจดหมาย (ในค่ำของวันจันทร์) เขื่อนได้แตกออก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมทะลักในปริมาณมหาศาลไปด้านท้ายน้ำการแตกของเขื่อนเป็นผลมาจากฝนที่ตกหนักตามฤดูอย่างต่อเนื่อง และฝนที่ตกหนักโดยเฉพาะในพื้นที่นี้เมื่อวันจันทร์

ส่งผลให้กว่า 4,000 ครอบครัว (บางตัวเลขระบุว่ากว่า 6,600 ครอบครัว) ต้องสูญเสียบ้านเรือนและทรัพย์สินเนื่องจากถูกน้ำท่วม และมีผู้สูญหายกว่า 200 คนมีหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมอย่างน้อย 7 แห่ง ประกอบด้วย บ้านท่าบก หินลาด สมอใต้ ท่าแสงจัน ท่าหินใต้ ท่าบก ท่าม่วง เขต สนามชัย แขวงอัตตะปือ

ชาวบ้านจำนวนมากเหล่านี้ได้ถูกอพยพมาที่อยู่ใหม่ก่อนหน้านี้ หรือที่ผ่านมาได้รับผลกระทบด้านการทำมาหากินเนื่องจากการก่อสร้างเขื่อน มาในคราวนี้ยังต้องได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ต้องสูญเสียบ้านเรือน ทรัพย์สิน และสมาชิกในครอบครัวไป

บทเรียนเขื่อนแตก

ความเสี่ยงที่สำคัญจากการออกแบบเขื่อน ซึ่งไม่สามารถรับมือกับสภาพอากาศที่เลวร้ายและอุบัติภัยได้ อย่างกรณีที่เกิดฝนตกหนักมาก ๆ ปัจจุบันความผันผวนด้านสภาพอากาศที่ยากต่อการพยากรณ์และรุนแรง เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากในลาวและในภูมิภาคนี้ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ

ทั้งยังแสดงให้เห็นข้อบกพร่องของระบบเตือนภัยสำหรับการสร้างและการเดินเครื่องเขื่อน เนื่องจากมีการเตือนภัยที่ดูเหมือนจะล่าช้ามากและไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้ามากเพียงพอเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเองและครอบครัว ทั้งสองประเด็นต่างทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานของเขื่อนและความปลอดภัยของเขื่อนในประเทศลาว รวมทั้งความเหมาะสมของโครงการเหล่านี้ในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

ทั้งยังมีคำถามเกี่ยวกับบทบาทและความรับผิดชอบ การตรวจสอบได้และความสามารถในการบริหารจัดการและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ในโครงการที่เป็นของและดำเนินการโดยเอกชนร่วมกับหน่วยงานของรัฐบาล

เนื่องจากในปัจจุบันมีการก่อสร้างหรือมีแผนที่จะก่อสร้างโครงการพลังงานไฟฟ้ากว่า 70 แห่งตลอดทั่วสปป.ลาว โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการของและดำเนินการโดยบริษัทเอกชน (ในรูปแบบสัญญา “สร้าง-โอนให้-ให้บริการ”) เหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนและการบริหารจัดการเขื่อน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบโดยทันที

อนึ่งก่อนหน้านี้ ทีมงานขององค์กรแม่น้ำนานาชาติ ได้เคยลงพื้นที่เขื่อนเซเปียน เซน้ำน้อย ในปี 2556 และได้เขียนงานไว้ว่า…

ผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ต้องการให้มีการปรึกษาหารือก่อนการก่อสร้าง
เขียนเมื่อ 24 มกราคม 2556

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้ไปพักกับครอบครัวชนเผ่ายาหวน (Nya Heun) ในพื้นที่รองรับผู้อพยพที่หนาแน่นบริเวณแขวงปากซอง ลาวใต้ ประชาชนหลายพันคนถูกบังคับให้อพยพมาที่นี่ระหว่างปี 2539-2544 เพื่อปูทางให้มีการสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อยและห้วยห้อ ที่มีการวางแผนก่อสร้างในช่วงนั้น บริเวณพื้นที่ที่ตกทอดมาแต่บรรพชนของพวกเขาตามริมฝั่งแม่น้ำเซเปียนและเซน้ำน้อย แม่น้ำและลำห้วยใกล้กับถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกเขาเป็นแหล่งประมงที่อุดมสมบูรณ์ มีน้ำจืดไหลอย่างเสรี พวกเขาสามารถเก็บของป่าได้จากในป่า มีพื้นที่เพื่อทำการเกษตรบนพื้นที่สูงโดยปลูกพันธุ์ผักต่าง ๆ ผสมกับผลไม้ กาแฟ และข้าว

แต่ในพื้นที่รองรับผู้อพยพที่ดิฉันไปพัก เป็นพื้นที่ที่เกิดจากการถางป่า และมีหน้าดินตื้นไม่เหมาะสมกับรูปแบบการเกษตรบนพื้นที่สูงที่พวกเขาคุ้นเคย ทั้งไม่มีแม่น้ำบริเวณใกล้เคียงที่สามารถจับปลา หรือสามารถนำน้ำสะอาดมาใช้งานได้เหมือนที่เคยเป็นมา ชาวบ้านเหล่านี้กลับต้องกลายเป็นคนซื้อข้าว ซื้อเนื้อ และซื้อปลาจากตลาดซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 5-8 กม. โดยมีระบบส่งน้ำแบบใช้แรงโน้มถ่วงของโลกเพียงเครื่องเดียวเพื่อจ่ายน้ำสำหรับใช้งานประจำวันทั้งชุมชน ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ทำงานรับจ้างเป็นแรงงานรายวันในแปลงปลูกกาแฟบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นของบริษัทจากลาวและต่างชาติ รวมทั้งการเก็บเกี่ยวผลผลิตกาแฟจากแปลงปลูกเล็ก ๆ ในที่ดินซึ่งได้รับมาใกล้กับบ้าน เพื่อส่งขายให้กับบริษัท

ชาวบ้านบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดจากความหิวโหยอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย แม้ว่าในหมู่บ้านเดิมที่พวกเขาอยู่ เด็กอาจต้องเสียค่าเล่าเรียน และคนป่วยอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลบ้าง แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายในระดับที่ชาวบ้านจ่ายได้ เนื่องจากไม่มีรายจ่ายในด้านอื่น ๆ มากนัก แต่ในปัจจุบัน ครอบครัวเหล่านี้บอกว่ากำลังประสบปัญหาไม่มีเงินส่งลูกไปโรงเรียน หรือไม่มีเงินรักษาตัวยามเจ็บป่วย เนื่องจากเงินที่เก็บสะสมได้ต้องนำไปใช้ซื้ออาหาร

การหาทางแก้ปัญหาและอยู่รอดในที่ดินใหม่

ชาวบ้านทุกคนต่างต้องปากกัดตีนถีบในสภาพที่แร้นแค้น แต่พวกเขาต้องประหลาดใจว่า ที่ดินเดิมของพวกเขาส่วนใหญ่กลับไม่ถูกน้ำท่วม กว่า 10 ปีที่แล้ว ชาวบ้านได้รับการแจ้งเตือนว่า น้ำจากแม่น้ำจะหลากท่วมบ้านเรือนของตนโดยเร็ว เนื่องจากเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย

เพราะอันที่จริงยังไม่มีการสร้างเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยขึ้นมาในตอนนั้น เนื่องจากแผนก่อสร้างเดิมของบริษัทจากเกาหลีใต้ประสบปัญหาจากวิกฤตการเงินในเอเชีย ทำให้ชาวบ้านรู้สึกโกรธ สับสน และกังวลใจพร้อมกับตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงถูกบีบให้อพยพออกจากถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง

ปัจจุบันครอบครัวส่วนใหญ่ได้กลับเข้าไปจับจองที่ดินเดิมของตน พวกเขาเริ่มเพาะปลูกและเก็บของป่าอย่างที่เคยทำมา แต่ก็เพิ่งทำได้ไม่นานมานี้เอง เนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้ขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไปในที่ดินของตน แต่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ทางการบอกว่าหลายครอบครัวที่ต้องการกลับไปที่ดินเดิม ต้องสามารถจำแนกได้ว่าที่ดินของตนอยู่ที่แปลงไหน และต้องจ่ายเงินจำนวนมาก ในปัจจุบัน ถนนที่จะนำพวกเขากลับไปสู่บ้านเกิดของตนมีเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งด่านตรวจเต็มไปหมด แต่ถ้าครอบครัวเหล่านี้สามารถจ่ายค่าผ่านทางให้กับเจ้าหน้าที่ได้ พวกเขาก็สามารถกลับไปบ้านเกิดของตนเองได้

ชาวบ้านแสดงจุดยืนอย่างหนักแน่นและภูมิใจที่จะต่อต้านการบังคับให้อพยพ

แม้ว่าครอบครัวส่วนใหญ่จะย้ายรวมกันไปอยู่ในพื้นที่รองรับผู้อพยพ แต่มีสองหมู่บ้านที่ไม่ยอมย้าย ได้แก่บ้านห้วยโจดและบ้านหนองผานวน แม้จะถูกข่มขู่จากทางการ แต่ทุกครอบครัวในหมู่บ้านตัดสินใจร่วมกันกับผู้ใหญ่บ้าน ที่จะไม่ยอมรับข้อเสนอให้อพยพโยกย้าย แม้จะถูกทางการตัดบริการสาธารณูปการทั้งหลาย แต่ชาวบ้านยืนยันจะไม่ยอมละทิ้งถิ่นฐานของตนในป่าบนพื้นที่สูง ช่วงที่ดิฉันไปเยี่ยมพวกเขา ๆ ประกาศอย่างภูมิใจว่า สามารถเก็บเกี่ยวธัญญาหารจากในป่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บน้ำผึ้งป่าและการทำแปลงเกษตรขนาดเล็กเพื่อการพึ่งตนเองของครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้บนพื้นที่ที่แห้งแล้งในแปลงอพยพ

ชาวบ้านที่ห้วยโจดตระหนักดีถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับชุมชนที่ถูกโยกย้ายไปแล้ว พวกเขาอธิบายกับดิฉันว่า ได้เริ่มโครงการถ่ายภาพ เพื่อบันทึกข้อมูลพันธุ์พืชและสัตว์ท้องถิ่นบริเวณภูเขาและแม่น้ำรอบชุมชน ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาสามารถอธิบายถึงตัวอย่างพันธุ์ปลาที่แตกต่างกันกว่า 20 ชนิด ซึ่งจับได้จากลำห้วยและแม่น้ำบริเวณใกล้เคียง และกับข้าวอีกหลายสิบอย่างที่พวกเขาปรุงขึ้นมาจากของที่หาได้จากธรรมชาติที่มีความสำคัญเช่นนี้ ในปัจจุบันพวกเขาต้องการบันทึกข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ เพื่อเปรียบเทียบกับสภาพตอนที่บริษัทที่ทำแปลงเกษตรขนาดใหญ่หรือบริษัทที่สร้างเขื่อนเริ่มเข้ามาอ้างกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินของพวกเขา

อนาคตร่วมกันที่ถูกคุกคาม

บรรดาผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่ดิฉันได้พบต่างบอกว่า ในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมา มีคนของบริษัท ไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด (PNPC) และที่ปรึกษาโครงการจากประเทศไทย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ได้เข้ามาหาพวกเขาในหมู่บ้าน มีการถ่ายภาพบ้านเรือนของชาวบ้าน ที่ดินทำกิน และครอบครัวของพวกเขา มีการสอบถามชาวบ้านเกี่ยวกับอาหารและรายได้หลัก และเริ่มจะมีการปักป้ายชื่อของบริษัทจากเกาหลีใต้ SK Construction and Engineering บริเวณพื้นที่หน้าแคมป์คนงาน

ในตอนนี้ดูเหมือนว่าหลังจากล่าช้าไปหลายปี คงจะมีการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อยเสียที ทั้งนี้ด้วยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย และมีการลงนามสัญญาสัมปทานเมื่อเดือนตุลาคม 2555 มีผู้ถือหุ้นประกอบด้วย บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จากไทย บริษัทจากเกาหลีใต้สองแห่งได้แก่ SK Engineering & Construction Company และ Korea Western Power Company และรัฐบาลสปป.ลาว โดยคาดว่า 90% ของไฟฟ้าที่ผลิตได้จะส่งออกไปประเทศไทย

โครงการที่ครอบคลุมหลายลุ่มน้ำประกอบด้วยเขื่อนหกแห่งที่จะก่อสร้างขึ้นในแม่น้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย และแม่น้ำห้วยหมากจัน โดยจะมีการผันน้ำผ่านระบบท่อและคลองเข้าไปสู่แม่น้ำเซกง คาดว่าโครงการนี้จะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบริเวณป่าต้นน้ำ ซึ่งยังคงเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับชาวบ้านชนเผ่ายาหวน ซึ่งอยู่ในพื้นที่รองรับผู้อพยพ ทั้งยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการประมงในภูมิภาค ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าที่ผ่านมาได้มีการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนแล้วหรือไม่ แม้ว่าจะมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายพันคนในกัมพูชาซึ่งอาศัยอยู่ด้านท้ายน้ำของแม่น้ำเซกง

อันที่จริง ชาวบ้านในชุมชนที่ดิฉันได้พบใกล้กับแขวงปากซองหรือัตตะปือ ต่างไม่เคยได้ทราบเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการนี้ที่จะมีต่อผืนดิน แม่น้ำ และสัตว์น้ำรอบตัวพวกเขาเลย เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ถูกโยกย้ายมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาจึงรู้สึกโกรธและต้องการทราบว่า บริษัทจากไทยและเกาหลีใต้มีแผนการอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อการดำรงชีพของพวกเขา ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งบอกกับดิฉันว่า “บริษัทที่ต้องการสร้างเขื่อนเซน้ำน้อย ควรมาพูดคุยกับชาวบ้านในหมู่บ้านเสียก่อน พวกเขาไม่ควรเริ่มก่อสร้างเขื่อนโดยที่ยังไม่ได้พูดคุยกับชาวบ้าน พวกเราที่เป็นชาวบ้านต้องการทราบข้อมูลที่ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเกิดขึ้นเมื่อไร… พวกเรากังวลมากในตอนนี้ ที่ผ่านมาได้มีการเริ่มจัดเตรียมพื้นที่ก่อสร้างของบริษัท SK แล้ว แต่พวกเขาไม่เคยเข้ามาที่หมู่บ้านเพื่ออธิบายอะไรเลย พวกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และจะได้รับความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง เรายังคงรอคอยข้อมูลเหล่านี้”

หากสถาบันระหว่างประเทศซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติเพื่อคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม อย่างเช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย พิจารณาที่จะลงทุนในโครงการนี้ พวกเขาจำเป็นต้องรับฟังข้อกังวลอย่างจริงจังของชาวบ้านเกี่ยวกับช่องว่างที่ชัดเจนในแง่การปรึกษาหารือและความโปร่งใสของโครงการ เรากำลังรอดูอยู่ว่าพวกเขาจะแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างจริงจังหรือไม่

ต้นฉบับภาษาอังกฤษ English Version