จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 ถึงเดือนเมษายน 2557 มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบและประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ทั้งหมด 44 จังหวัด 311 อำเภอ 1,927 ตำบล 18,355 หมู่บ้าน แบ่งเป็น
ภาคเหนือ 13 จังหวัด
ตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด
ภาคกลาง 7 จังหวัด
ภาคตะวันออก 7 จังหวัด และ
ภาคใต้ 7 จังหวัด โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะภัยแล้งคือปริมาณฝน ที่ถึงแม้ว่าปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศในปี 2556 จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย 14% แต่กลับพบว่ามีฝนที่ตกบริเวณพื้นที่รับน้ำของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ค่อนข้างน้อย ทำให้ปริมาณน้ำไหลลงอ่างสะสมทั้งปีของทั้งสองเขื่อนน้อยที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งรวมถึงน้อยกว่าปี 2548 และ 2553 ที่ประเทศไทยเกิดภัยแล้งรุนแรง ส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนปี 2557 ค่อนข้างน้อย อีกทั้งช่วงต้นปี 2557 ฝนยังคงตกน้อยต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์น้ำในเขื่อนตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ ในทางตรงกันข้าม ช่วงเวลาดังกล่าว เกษตรกรกลับเพาะปลูกพืชเกินจากแผนที่กรมชลประทานวางไว้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีการปลูกข้าวนาปรังในเขตพื้นที่ชลประทานเกินจากแผนไปถึง 119%
ปริมาณน้ำที่ระบายจากเขื่อนจึงถูกสูบออกจากลำน้ำเพื่อนำไปใช้ในการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอเพื่อใช้ในการผลักดันน้ำเค็ม ซึ่งปี 2557 เกิดสถานการณ์น้ำเค็มรุกล้ำลำน้ำตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการรุกล้ำที่เร็วกว่าปกติมาก (ปกติน้ำเค็มจะรุกล้ำช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี) รวมทั้งความเค็มเกินค่ามาตรฐานค่อนข้างมากโดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการใช้น้ำด้านการเกษตรรวมทั้งการผลิตน้ำประปาเพื่ออุปโภคบริโภค
ข้อมูลโดย : กรมอุตุนิยมวิทยา / NASA
ปี 2556 มีปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยทั้งประเทศ 1,569 มิลลิเมตร หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ย 14%
โดยทั่วทุกภาคมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้
แต่หากพิจารณาเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ พบว่ามีปริมาณฝนน้อยต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555
โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่รับน้ำของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้ในปี 2556 เขื่อนทั้งสองมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างสะสมน้อยที่สุดในรอบ 10 ปี
(น้อยกว่าปี 2548 และ 2553 ที่ประเทศไทยเกิดภัยแล้งรุนแรง) และส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนของปี 2557 ค่อนข้างน้อย
ค่าเฉลี่ย 48 ปี (2493-2540) (1,374 มม.) |
2548 ( 1,359 มม.) |
2549 (1,534 มม.) |
2550 (1,470 มม.) |
2551 (1,543 มม.) |
2552 ( 1,403 มม.) |
2553 (1,436) |
2554 (1,824 มม.) |
2555 (1,475 มม.) |
2556 (1,569 มม.) |
ภาค |
ปี 2548 |
ปี 2549 |
ปี 2550 |
ปี 2551 |
ปี 2552 |
ปี 2553 |
ปี 2554 |
ปี 2555 |
ปี 2556 |
ภาคเหนือ | 1,314 |
1,501 |
1,262 |
1,360 |
1,136 |
1,264 |
1,738 |
1,282 |
1,329 |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | 1,212 |
1,430 |
1,452 |
1,518 |
1,364 |
1,300 |
1,662 |
1,262 |
1,457 |
ภาคกลาง | 1,212 |
1,258 |
1,168 |
1,278 |
1,279 |
1,255 |
1,375 |
1,247 |
1,222 |
ภาคตะวันออก | 1,657 |
1,815 |
1,668 |
1,937 |
1,783 |
1,738 |
2,037 |
1,921 |
2,236 |
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก | 1,937 |
2,365 |
2,465 |
2,216 |
2,320 |
2,309 |
2,889 |
2,904 |
2,769 |
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก | 1,678 |
1,872 |
1,954 |
1,932 |
1,812 |
1,988 |
2,530 |
2,083 |
2,107 |
ทั้งประเทศ | 1,359 |
1,544 |
1,470 |
1,543 |
1,403 |
1,436 |
1,824 |
1,475 |
1,569 |
ฤดูแล้งปี 2547/2548 พ.ย. 2547- เม.ย.2548 ( 177.18 มม.) |
ฤดูแล้ังปี 2552/2553 พ.ย. 2552- เม.ย. 2553 ( 179.90 มม.) |
ฤดูแล้งปี 2555/2556 พ.ย. 2555- เม.ย. 2556 (281.43 มม.) |
ฤดูแล้งปี 2556/2557 พ.ย. 2556- เม.ย. 2557 (254.24) |
สถิติ 48 ปี |
ฤดูแล้งปี 2547/2548 |
ฤดูแลังปี 2552/2553 |
ฤดูแลังปี 2555/2556 |
ฤดูแลังปี 2556/2557 |
สถิติ 48 ปี เดือนพฤศจิกายน ( 68.44 มม.) |
พฤศจิกายน 2547 ( 41.43 มม.) |
พฤศจิกายน 2552 (46.31 มม.) |
พฤศจิกายน 2555 (84.25 มม.) |
พฤศจิกายน 2556 (99.93 มม.) |
สถิติ 48 ปี เดือนธันวาคม (29.72 มม.) |
ธันวาคม 2547 ( 15.54 มม.) |
ธันวาคม 2552 (12.16 มม.) |
ธันวาคม 2555 (45.05 มม.) |
ธันวาคม 2556 (42.23 มม.) |
สถิติ 48 ปี เืดือนมกราคม ( 15.36 มม.) |
มกราคม 2548 ( 10.12 มม.) |
มกราคม 2553 ( 36.98 มม.) |
มกราคม 2556 (27.41 มม.) |
มกราคม 2557 (4.51 มม.) |
สถิติ 48 ปี เดือนกุมภาพันธ์ ( 20.18 มม.) |
กุมภาพันธ์ 2548 ( 2.10 มม.) |
กุมภาพันธ์ 2553 ( 11.94 มม.) |
กุมภาพันธ์ 2556 (22.89 มม.) |
กุมภาพันธ์ 2557 (2.92 มม.) |
สถิติ 48 ปี เดือนมีนาคม ( 38.70 มม.) |
มีนาคม 2548 ( 36.01 มม.) |
มีนาคม 2553 ( 19.15 มม.) |
มีนาคม 2556 ( 28.99 มม.) |
มีนาคม 2557 ( 21.89 มม.) |
สถิติ 48 ปี เดือนเมษายน ( 70.61 มม.) |
เมษายน 2548 ( 71.98 มม.) |
เมษายน 2553 (53.36 มม.) |
เมษายน 2556 ( 72.84 มม.) |
เมษายน 2557 (82.77 มม.) |
ฤดูแลังปี 2547/2548 พฤศจิกายน 2547 - เมษายน 2548 |
ฤดูแลังปี 2552/2553 พฤศจิกายน 2552 - เมษายน 2553 |
ฤดูแลังปี 2555/2556 พฤศจิกายน 2555 - เมษายน 2556 |
ฤดูแลังปี 2556/2557 พฤศจิกายน 2556 - เมษายน 2557 |
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://disc2.nascom.nasa.gov/Giovanni/tovas/realtime.3B42RT.2.shtml
แผนภาพแสดงปริมาณฝนรายเดือนที่ต่างไปจากค่าปกติ
จัดทำโดย กรมอุตุนิยมวิทยา
จากแผนภาพแสดงปริมาณฝนรายเดือนที่ต่างไปจากค่าปกติของกรมอุตุนิยมวิทยา เปรียบเทียบระหว่างช่วงฤดูแล้งปี 56/56 และ ฤดูแล้งปี 56/57
เดือนพฤศจิกายน ปี 2556 บริเวณตอนบนของประเทศมีฝนอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ส่วนภาคใต้มีปริมาณฝนเกินค่าปกติประมาณ 90% ของพื้นที่
และมีฝนต่ำกว่าค่าปกติบริเวณจ.พังงา จ.สงขลา จ.สตูล และเกาะสมุย และหากเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2555 พบว่าปี 2556
มีฝนต่ำกว่าค่าปกติน้อยกว่าปี 2555
เดือนธันวาคม ปี 2556 พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีฝนอยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นบางพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนมากกว่าค่าปกติ
ส่วนภาคใต้มีฝนต่ำกว่าค่าปกติในหลายพื้นที่ รวมทั้งต่ำกว่าปี 2555
เดือนมกราคม ปี 2557 พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีฝนอยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นบางพื้นที่ของภาคใต้ที่มีฝนต่ำกว่าเกณฑ์และสูงกว่าเกณฑ์
แต่เป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น แต่หากเทียบกับปี 2556 พบว่า ปี 2556 มีฝนเกินกว่าค่าปกติมากกว่าปี 2557 ค่อนข้างมากโดยเฉพาะภาคตะวันออก
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2557 ไม่มีพื้นที่ใดของประเทศที่มีฝนเกินค่าปกติ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกมีฝนต่ำกว่าค่าปกติบริเวณจังหวัดมุกดาหาร
บึงกาฬ สกลนครและสระแก้ว ส่วนภาคใต้มีฝนต่ำกว่าเกณฑ์ครอบคลุมพื้นที่ 70-80% ของภาค และหากเทียบกับปี 2556 พบว่าปี 2557 มีพื้นที่ฝนต่ำกว่าค่าปกติมากกว่าปี 2556
เดือนมีนาคม ปี 2557 พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศยังคงมีค่าฝนปกติ และไม่มีพื้นที่ใดที่มีฝนเกินค่าปกติ มีเพียงบางพื้นที่ของภาคตะวันออกที่มีฝนต่ำกว่าค่าปกติ
ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนต่ำกว่าค่าปกติต่อเนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ แต่ครอบคลุมพื้นที่ลดน้อยลง
และหากเทียบกับปี 2556 พบว่าปี 2557 มีพื้นที่ฝนต่ำกว่าเกณฑ์น้อยกว่าปี 2556
เดือนเมษายน ปี 2557 พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีค่าฝนอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่เดือนนี้เริ่มมีปริมาณฝนเกินค่าปกติในบางพื้นที่ของภาคกลาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ฝั่งตะวันตก และยังคงมีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติกระจายตัวเป็นหย่อมเล็ก ๆ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
ภาคตะวันออก
ภาคกลางตอนล่าง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก และหากเทียบกับปี 2556 พบว่าในปี 2556 มีฝนต่ำกว่าเกณฑ์ครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทยมากกว่าปี 2557
ฤดูแล้งปี 2555/2556 |
ฤดูแล้งปี 2556/2557 |
พฤศจิกายน 2555 |
พฤศจิกายน 2556 |
ธันวาคม 2555 |
ธันวาคม 2556 |
มกราคม 2556 |
มกราคม 2557 |
กุมภาพันธ์ 2556 |
กุมภาพันธ์ 2557 |
มีนาคม 2556 |
มีนาคม 2557 |
เมษายน 2556 |
เมษายน 2557 |
พฤศจิกายน 2556 |
ธันวาคม 2556 |
มกราคม 2557 |
กุมภาพันธ์ 2557 |
มีนาคม 2557 |
เมษายน 2557 |
|
พฤศจิกายน 2555 |
ธันวาคม 2555 |
มกราคม 2556 |
กุมภาพันธ์ 2556 |
มีนาคม 2556 |
เมษายน 2556 |
|
เขื่อนสิริกิติ์
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/rid_bigcm.php
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/show_itcwater.php
ข้อมูลโดย : กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ / Ocean Weather Inc. / กรมควบคุมมลพิษ / การประปานครหลวง
ปี 2557 สถานการณ์น้ำเค็มรุกล้ำบริเวณอ่าวไทยเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติและมีค่าความเค็มสูงกว่ามาตรฐานค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง ซึ่งโดยปกติค่าความเค็มจะเริ่มสูงกว่ามาตรฐานในช่วงเดือนพฤษภาคม แต่ในปี 2557 ความเค็มเริ่มเกินค่ามาตรฐานสำหรับผลิตน้ำประปาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม จากการตรวจวัดค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานีสำแล จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 22.00 น. มีความเค็มสูงถึง 1.92 กรัมต่อลิตร (สูงกว่าปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรง) และมีความเค็มเกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องนานถึง 70 ชั่วโมง สำหรับแม่น้ำบางปะกง เกิดสถานการณ์น้ำเค็มรุกล้ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมเช่นเดียวกันแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ค่าความเค็มที่ตรวจวัดได้เกินจากค่ามาตรฐานค่อนข้างสูงมาก ทั้งมาตรฐานเพื่อผลิตน้ำประปาและเพื่อการเกษตร ส่งผลให้ระบบประปาที่ใช้น้ำจากแม่น้ำบางปะกงเกิดปัญหา โดยเฉพาะการผลิตน้ำของการประปาส่วนภูมิภาคที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา รวมทั้งระบบประปาชุมชน ซึ่งความเค็มที่เกินมาตรฐานเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต ทั้งนี้น้ำเค็มได้รุกล้ำขึ้นไปถึงจังหวัดนครนายกและปราจีนบุรี ซึ่งโดยปกติในช่วงน้ำหลาก จะเกิดการรุกล้ำลำน้ำถึงแค่บริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา
ทั้งนี้มีสาเหตุหลักจากการเกิดสภาวะน้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติในช่วงต้นปีตามที่กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ได้คาดการณ์ไว้ และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงในบางช่วง ส่งผลให้เกิดคลื่นสูงพัดเข้าสู่อ่าวไทย ระดับน้ำที่ตรวจวัดได้จริงบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาจึงสูงกว่าที่กรมอุทกศาสตร์คาดการณ์ไว้ เช่น วันที่ 15 และ 21 กุมภาพันธ์ 2557 ระดับน้ำที่ตรวจวัดได้จริงสูงกว่าที่คาดการณ์ถึง 60 เซนติเมตร นอกจากนี้อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนคลองสียัด มีปริมาณน้ำเหลือน้อยไม่สามารถนำมาช่วยผลักดันน้ำเค็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดสภาวะน้ำเค็มรุกล้ำอย่างต่อเนื่อง
สภาวะน้ำเค็มรุกล้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม ส่วนแม่น้ำบางปะกงถึงแม้ค่าความเค็มได้ลดลงจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม แต่ค่าความเค็มยังคงเกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤษภาคม
กราฟแสดงระดับน้ำบริเวณอ่าวไทยที่สถานีกองบัญชาการกองทัพเรือ และสถานีป้อมพระจุลจอมเกล้า พบว่าระดับน้ำที่ตรวจวัดจริง(เส้นสีแดง)
สูงกว่าระดับน้ำทำนายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะวันที่ 15 และ 21 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ระดับน้ำตรวจวัดจริงสูงกว่าคาดการณ์ถึง 60 เซนติเมตร
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hydro.navy.mi.th/Chaophraya/rtnhq.htm
แผนภาพความสูงและทิศทางของคลื่นบริเวณอ่าวไทย แสดงให้เห็นว่าวันที่ 15 และ 21 กุมภาพันธ์ ความสูงของคลื่นบริเวณอ่าวไทยเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงที่
มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรง
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaiwater.net/web/index.php/weatherinfo.html
จากการตรวจวัดความเค็มของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสถานีสูบสำแล อ.เมือง จ.ปทุมธานี พบว่าค่าความเค็มของน้ำดิบเริ่มเกินมาตรฐานเพื่อผลิตน้ำประปาตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2557
และค่าความเค็มเกินมาตรฐานค่อนข้างมากในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 โดยสามารถวัดค่าความเค็มได้สูงสุด 1.92 กรัม/ลิตร และเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2557
จากการตรวจวัดค่าความเค็มในแม่น้ำบางปะกงบริเวณ ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี
พบว่าปริมาณน้ำเค็มเกินค่ามาตรฐานค่อนข้างมาก ทั้งมาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปา
และมาตรฐานเพื่อการเกษตร
ข้อมูลโดย : กรมชลประทาน
แผนการจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 2556/2557 แยกตามการใช้ประโยชน์
ช่วงฤดูแล้งปี 2556/2557 กรมชลประทานได้วางแผนจัดสรรน้ำตามการใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย 1) อุปโภค-บริโภค 2) อุตสาหกรรม 3) การเกษตร 4) ระบบนิเวศและอื่น ๆ
สำหรับการวางแผนจัดสรรน้ำทั้งประเทศ มีการจัดสรรน้ำไว้เพื่ออุปโภค-บริโภค ทั้งสิ้น 9% อุตสาหกรรม 1% การเกษตร 62% ระบบนิเวศและอื่น ๆ 28%
หากพิจารณาเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา
มีการจัดสรรน้ำไว้เพื่ออุปโภค-บริโภค 21% อุตสาหกรรม 0.09% การเกษตร 54% ระบบนิเวศและอื่น ๆ 25%
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดสรรน้ำไว้สำหรับอุปโภค-บริโภค 5%
อุตสาหกรรม 1% การเกษตร 74% ระบบนิเวศและอื่น ๆ 20%
เขื่อน/อ่างเก็บน้ำ |
แผนการจัดสรรน้ำ |
ผลการระบายน้ำ |
คงเหลือ/ระบายเกิน |
||
ปริมาณน้ำ(ล้าน ลบ.ม) | ปริมาณน้ำ(ล้าน ลบ.ม) | % จากแผน | ปริมาณน้ำ(ล้าน ลบ.ม) | % จากแผน | |
ทั้งประเทศ | 20,566 | 21,704 | 106% | -1,138 | -6% |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | 2,714 | 3,825 | 141% | -1,111 | -41% |
ลุ่มน้ำเจ้าพระยา | 5,300 | 7,265 | 137% | -1,965 | -37% |
ภูมิพล+สิริกิติ์ | 3,000 | 4,792 | 160% | -1,792 | -60% |
แควน้อยบำรุงแดน | 600 | 813 | 136% | -213 | -36% |
ป่าสักชลสิทธิ์ | 700 | 752 | 107% | -52 | -7% |
แม่กลอง | 1,000 | 908 | 91% | 92 | 9% |
ฤดูแล้ง | ปริมาณน้ำทั้งหมด | ปริมาณน้ำใช้การได้ | อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ | อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง | แผนการใช้น้ำ | ผลการใช้น้ำ |
|
ปี 51/52 | 59,641 | 36,131 | 32,941 | 3,217 | 22,687 | 24,160 | เกินแผน |
ปี 52/53 | 58,532 | 35,022 | 31,917 | 3,105 | 20,720 | 22,471 | เกินแผน |
ปี 53/54 | 55,691 | 31,851 | 28,647 | 3,204 | 20,444 | 19,980 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 54/55 | 69,285 | 45,328 | 41,970 | 3,358 | 31,900 | 33,262 | เกินแผน |
ปี 55/56 | 55,268 | 31,469 | 28,649 | 2,820 | 23,570 | 21,424 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 56/57 | 56,872 | 33,069 | 29,575 | 3,494 | 20,566 | 21,704 | เกินแผน |
ฤดูแล้ง | ปริมาณน้ำทั้งหมด | ปริมาณน้ำใช้การได้ | อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ | อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง | แผนการใช้น้ำ | ผลการใช้น้ำ |
|
ปี 52/53 | 7,266 | 5,533 | 4,032 | 1,501 | 2,837 | 2,497 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 53/54 | 9,182 | 7,397 | 5,793 | 1,604 | 2,834 | 4,631 | เกินแผน |
ปี 54/55 | 10,398 | 8,613 | 6,922 | 1,691 | 3,513 | 5,537 | เกินแผน |
ปี 55/56 | 5,346 | 3,542 | 2,345 | 1,197 | 1,529 | 1,389 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 56/57 | 8,464 | 6,664 | 4,976 | 1,688 | 2,714 | 3,825 | เกินแผน |
ฤดูแล้ง | ปริมาณน้ำทั้งหมด | ปริมาณน้ำใช้การได้ | ภูมิพล+สิริกิติ์ | แควน้อย | ป่าสักชลสิทธิ์ | แม่กลอง | แผนการใช้น้ำ | ผลการใช้น้ำ |
|
ปี 51/52 | 19,343 | 12,690 | 10,736 | 0 | 954 | 1,000 | 9,550 | 10,881 | เกินแผน |
ปี 52/53 | 17,875 | 11,186 | 8,720 | 519 | 947 | 1,000 | 8,000 | 10,339 | เกินแผน |
ปี 53/54 | 18,529 | 11,827 | 9,628 | 739 | 960 | 500 | 8,500 | 8,409 | ต่ำกว่าแผน |
ปี 54/55 | 24,849 | 18,099 | 16,239 | 900 | 960 | 0 | 13,220 | 14,751 | เกินแผน |
ปี 55/56 | 17,771 | 11,075 | 8,612 | 689 | 774 | 1,000 | 9,000 | 9,043 | เกินแผน |
ปี 56/57 | 15,849 | 9,153 | 6,343 | 851 | 959 | 1,000 | 5,300 | 7,265 | เกินแผน |
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://wmsc.rid.go.th/
ข้อมูลโดย : กรมชลประทาน
ช่วงฤดูแล้งปี 2556/2557 กรมชลประทานได้วางแผนการเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้งไว้ทั้งสิ้น 13 ล้านไร่ แต่มีการเพาะปลูกจริง 18.02 ล้านไร่ คิดเป็น 139% ซึ่งเกินจากแผนไปถึง 5.02 ล้านไร่ ทั้งนี้มีการปลูกข้าวนาปรังเกินแผนไป 5.2 ล้านไร่ หากพิจารณาเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้วางแผนการปลูกพืชไว้ทั้งหมด 3.05 ล้านไร่ แต่มีการเพาะปลูกจริง 3.27 ล้านไร่ คิดเป็น 107% เกินจากแผนไป 0.22 ล้านไร่
โดยมีการปลูกข้าวนาปรังเกินไปจากแผน 0.26 ล้านไร่ สำหรับในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ได้วางแผนการเพาะปลูกพืชไว้ 5.09 ล้านไร่ แต่เพาะปลูกเกินแผนไปมากถึง 9.84 ล้านไร่ คิดเป็น 193% หรือเกินจากแผนไป 4.75 ล้านไร่
โดยมีการปลูกข้าวนาปรังเกินจากแผนไป 4.79 ล้านไร่
(รายละเอียดเพิ่มเติมตามตารางด้านล่าง)
แผน/ผล การเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้ง ทั้งประเทศ
แผน/ผล การเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แผน/ผล การเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้ง ลุ่มน้ำเจ้าพระยา
จังหวัด |
อำเภอรวม |
อำเภอประกาศภัย |
รายชื่ออำเภอที่ประกาศภัย |
ภาคเหนือ 13 จังหวัด | |||
อุตรดิตถ์ | 9 |
9 |
ฟากท่า ตรอน ทองแสนขัน พิชัย เมือง ท่าปลา บ้านโคก ลับแล นํ้าปาด |
สุโขทัย | 9 |
9 |
เมือง กงไกรลาศ บ้านด่านลานหอย คีรีมาศ สวรรคโลก ศรีนคร ศรีสำโรง ทุ่งเสลี่ยม ศรีสัชนาลัย |
แพร่ | 8 |
8 |
เมือง หนองม่วงไข่ เด่นชัย ร้องกวาง สอง ลอง สูงเม่น วังชิ้น |
ตาก | 9 |
9 |
บ้านตาก วังเจ้า เมือง สามเงา อุ้มผาง ท่าสองยาง แม่สอด แม่ระมาด พบพระ |
น่าน | 15 |
13 |
เฉลิมพระเกียรติ ปัว เมือง บ่อเกลือ ภูเพียง แม่จริม ทุ่งช้าง นาน้อย บ้านหลวง เชียงกลาง สองแคว เวียงสา ท่าวังผา |
พะเยา | 9 |
9 |
แม่ใจ เชียงม่วน ภูกาม ยาว ปง ดอกคำใต้ จุน ภูซาง เชียงคํา เมือง |
พิษณุโลก | 9 |
5 |
พรหมพิราม ชาติตระการ นครไทย วังทอง บางกระทุ่ม |
นครสวรรค์ | 15 |
6 |
ท่าตะโก ตากฟ้า โกรกพระ เมือง พยุหคีรี ตาคลี |
พิจิตร | 12 |
4 |
เมือง ตะพานหิน บางมูลนาก ทับคล้อ |
แม่ฮ่องสอน | 7 |
7 |
ปางมะผ้า ขุนยวม เมือง สบเมย แม่ลาน้อย ปาย แม่สะเรียง |
เชียงใหม่ | 25 |
25 |
อมก๋อย หางดง พร้าว ดอยหล่อ ไชยปราการ ดอยเต่า ป่าตอง แม่ริม ฮอด กัลยาณิวัฒนา จอมทอง สารภี แม่แตง แม่แจ่ม ดอยสะเก็ด สะเมิง เชียงดาว แม่วาง เมือง ฝางแม่ออน สันกำแพง เวียงแหง สันทราย แม่อาย |
ลำพูน | 8 |
8 |
บ้านธิ ลี้ เมือง ทุ่งหัวช้าง แม่ทา ป่าซาง เวียงหนองล่อง บ้างโฮ่ง |
เชียงราย | 18 |
10 |
เวียงเชียงรุ้ง เมือง พญาเม็งราย พาน ป่าแดด แม่จัน แม่สาย แม่สรวย แม่ลาว ดอยหลวง |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด | |||
บุรีรัมย์ | 23 |
1 |
พุทไธสง |
ขอนแก่น | 26 |
23 |
บ้านไผ่ กระนวน หนองนาคํา สีชมพู พระยืน มัญจาคีรี นํ้าพอง บ้านฝาง เปือยน้อย พลชำสูง เขาสวนกวาง เมือง โนนศิลา ชนบท โคกโพธิ์ไชย แวงใหญ่ แวงน้อย ภูผาม่าน หนองสองห้อง เวียงเก่า ชุมแพ อุบลรัตน์ |
ศรีสะเกษ | 22 |
7 |
เมือง อุทุมพรพิสัย นํ้าเกลี้ยง โพธิ์ศรีสุวรรณ โนนคูณ ราษีไศล เบญจลักษ์ |
ชัยภูมิ | 16 |
15 |
คอนสวรรค์ จัตุรัส ภักดีชุมพล บ้านเขว้า เนินสง่า หนองบัวแดง บ้านแท่น ภูเขียว คอนสาร เมือง เกษตรสมบูรณ์ แก่งคร้อ ซับใหญ่ บำเหน็จณรงค์ เทพสถิต |
มหาสารคาม | 13 |
13 |
กันทรวิชัย เชียงยืน เมือง กุดรัง นาดูน วาปี ปทุมนาเชือก พยัคฆภูมิ พิสัย บรบือ แกดํา ยางสีสุราช โกสุมพิสัย ชื่นชม |
กาฬสินธ์ุ | 18 |
18 |
ยางตลาด ท่าคันโท นามน นาคู เขาวง กุฉินารายณ์ คำม่วง สามชัย ห้วยผึ้ง ร่องคํา สหัสขันธ์ สมเด็จ กมลาไสย ห้วยเม็ก ดอนจาน หนองกุง ศรีเมือง ฆ้องชัย |
หนองบัวลำภู | 6 |
6 |
สุวรรณคูหา เมือง ศรีบุญเรือง โนนสัง นาวัง นากลาง |
สุรินทร์ | 17 |
2 |
ศรีณรงค์ รัตนบุรี |
นครราชสีมา | 32 |
2 |
ห้วยแถลง สูงเนิน |
หนองคาย | 9 |
3 |
เมือง ศรีเชียงใหม่ โพนพิสัย |
ภาคกลาง 7 จังหวัด | |||
สิงห์บุรี | 6 |
5 |
เมือง ท่าช้าง พรหมบุรี บางระจัน อินทร์บุรี |
สระบุรี | 13 |
2 |
บ้านหมอ ดอนพุด |
ชัยนาท | 8 |
6 |
สรรพยา หนองมะโมง วัดสิงห์ มโนรมย์ เนินขาม หันคา |
สุพรรณบุรี | 10 |
2 |
หนองหญ้าไซ ดอนเจดีย์ |
กาญจนบุรี | 13 |
3 |
หนองปรือ เลาขวัญ บ่อพลอย |
ปทุมธานี | 7 |
2 |
หนองเสือ คลองหลวง |
เพชรบุรี | 8 |
3 |
แก่งกระจาน ท่ายาง ชะอํา |
ภาคตะวันออก 7 จังหวัด | |||
ฉะเชิงเทรา | 11 |
7 |
พนมสารคาม เมือง บ้านโพธิ์ บางนํ้าเปรี้ยว บางปะกง คลองเขื่อน บางคล้า |
จันทบุรี | 10 |
10 |
มะขาม โป่งนํ้าร้อน สอยดาว เขาคิชฌกูฏ ท่าใหม่ ขลุง นายายอาม เมือง แก่งหางแมว แหลมสิงห์ |
ปราจีนบุรี | 7 |
7 |
ศรีมหาโพธิ บ้านสร้าง ประจันตคาม กบินทร์บุรี นาดี เมือง ศรีมโหสถ |
ตราด | 7 |
6 |
เมือง เขาสมิง เกาะกูด คลองใหญ่ แหลมงอบ บ่อไร่ |
ชลบุรี | 11 |
1 |
เกาะสีชัง |
สมุทรปราการ | 6 |
2 |
เมือง บางพลี |
สระแก้ว | 9 |
8 |
เมือง คลองหาด เขาฉกรรจ์ วัฒนานคร โคกสูง ตาพระยา วังนํ้าเย็น วังสมบูรณ์ |
ภาคใต้ 7 จังหวัด | |||
ตรัง | 10 |
10 |
ห้วยยอด เมือง วังวิเศษ ปะเหลียน หาดสำราญ ย่านตาขาว รัษฎา สิเกา กันตัง นาโยง |
สตูล | 7 |
4 |
ละงู ท่าแพ เมือง ควนโดน |
กระบี่ | 8 |
8 |
เมือง เหนือ คลองอ่าวลึก เกาะลันตา เขาพนม คลองท่อม ปลายพระยา ลำทับ |
สุราษฎร์ธานี | 19 |
1 |
ดอนสัก |
นครศรีธรรมราช | 23 |
5 |
ปากพนัง เมือง สิชล เชียรใหญ่ บางขัน |
ชุมพร | 8 |
5 |
หลังสวน ละแม สวี เมือง ท่าแซะ |
ปัตตานี | 12 |
2 |
โคกโพธิ์ เมือง |
ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ เขื่อนห้วยหลวง จ.อุดรธานี มีปริมาณน้ำ 92 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 68 ของความจุอ่างฯ เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร มีปริมาณน้ำ 380 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 73 ของความจุอ่างฯ >เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ มีปริมาณน้ำ 1,017 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 51 ของความจุอ่างฯ เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา มีปริมาณน้ำ 310 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่างฯ
สำหรับในพื้นที่ภาคกลาง ที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาณน้ำ 955 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่างฯ เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี มีปริมาณน้ำ 245 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 102 ของความจุอ่างฯ เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก มีปริมาณน้ำ 206ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 92 ของความจุอ่างฯศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่กรมชลประทานได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2556/2557 ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 56 ถึง วันที่ 30 เม.ย. 57 โดยมีปริมาณน้ำที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งสิ้น 5,300 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ำที่นำมาจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ รวมกัน จำนวน 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จำนวน 600 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จำนวน 700 ล้านลูกบาศก์เมตร และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
ทั้งนี้ จะนำน้ำทั้งหมดที่ได้วางแผนจัดสรรไว้ สำหรับสนับสนุนการเพาะปลูกข้าวนาปรังรวมทั้งสิ้น 4.74 ล้านไร่ ผลการเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. - 19 ธ.ค. 57 พบว่าพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง มีการเพาะปลูกแล้ว ประมาณ 5.03 ล้านไร่ ซึ่งมากกว่าแผนฯ 0.29 ล้านไร่ หรือมากกว่าแผนคิดเป็นร้อยละ 6 และเนื่องจากเกษตรกรทำการเพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น ทำให้กรมชลประทานต้องปรับแผนการบริหารจัดการน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 56 เป็นต้นมา ประกอบกับขณะนี้ปริมาณน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 25 ธ.ค. 56 มีปริมาณน้ำใช้การได้ของแหล่งน้ำต้นทุนทั้ง 4 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์รวมกันเป็น จำนวน 7,833 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์น้อย ในขณะที่เมื่อสิ้นสุดฤดูแล้งปี 2556/2557 แล้ว ยังต้องสำรองปริมาณน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆในช่วงต้นฤดูนาปี 2557 จากทั้ง 4 เขื่อน รวมกันอีกกว่า 3,500 ล้านลูกบาศก์เมตรด้วย
จากสถานการณ์ดังกล่าว กรมชลประทาน ได้พิจารณาและประเมินสถานการณ์แล้ว เห็นว่า การเก็บเกี่ยวผลผลิตของเกษตรกรจะเริ่มขึ้นในช่วงประมาณปลายเดือนมกราคม 2557 ซึ่งหากมีการเพาะปลูกข้าวนาปรังอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงเดือนเมษายน 2557 จะเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำและเกิดความเสียหายต่อพืชผลของเกษตรกรได้
ดังนั้น ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2557 เป็นต้นไป กรมชลประทาน จะระบายน้ำเพื่อสนับสนุนเฉพาะการอุปโภค – บริโภค และรักษาระบบนิเวศน์เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะวิกฤตที่จะเกิดขึ้น จึงขอความร่วมมือจากเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ให้งดการเพาะปลูกข้าวนาปรังในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุน ส่งไปสนับสนุนการใช้น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) ล่าสุด(31 ม.ค. 57) มีปริมาณน้ำรวมกัน จำนวน 13,110 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 53 ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด มีปริมาณน้ำที่สามารถนำมาใช้การได้ จำนวน 6,414 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 35 ของปริมาณน้ำใช้การได้
สถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆ มีดังนี้ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาณน้ำ 6,729 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 2,929 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำ 5,341 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 56 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 2,491 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำ 444 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 47 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 401 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาณน้ำ 596 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 62 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 593 ล้านลูกบาศก์เมตร
ผลการจัดสรรน้ำฤดูแล้งปี 2556/2557 เฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ล่าสุด(31 ม.ค. 57) มีการใช้น้ำไปแล้ว 3,265 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 62 ของแผนฯ คงเหลือปริมาณน้ำที่จะใช้ได้ตามแผนฯ อีกประมาณ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 38 ของแผนฯ
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าสถานการณ์น้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ คงเหลือปริมาณน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ในช่วงฤดูแล้ง เพียงร้อยละ 30 ของความจุฯ เท่านั้น ในขณะที่ฤดูแล้งยังเหลือระยะเวลาอีกประมาณ 3 เดือน จึงขอให้ประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัดและเกิดคุณค่าสูงสุด โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ขอความร่วมมือให้งดทำนาปรังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ เพียงพอใช้อย่างไม่ขาดแคลน
ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุน ส่งไปสนับสนุนการใช้น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) ล่าสุด(5 ก.พ. 57) มีปริมาณน้ำรวมกัน จำนวน 12,885 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 52 ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด มีปริมาณน้ำที่สามารถนำมาใช้การได้จำนวนทั้งสิ้น 6,189 ล้านลูกบาศก์เมตร
สถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆ มีดังนี้ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาณน้ำ 6,631 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 49 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 2,831 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำ 5,254 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 55 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 2,404 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำ 428 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 46 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 385 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาณน้ำ 572 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 569 ล้านลูกบาศก์เมตร
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้กำหนดแผนการใช้น้ำจากเขื่อนต่างๆข้างต้น เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2556/2557 ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นปริมาณน้ำรวมทั้งสิ้น 5,300 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งนำมาจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ รวมกันจำนวน 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จากเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จำนวน 600 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อีกจำนวน 700 ล้านลูกบาศก์เมตร และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาเสริมอีก 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
ผลการจัดสรรน้ำฤดูแล้งปี 2556/2557 เฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ล่าสุด(5 ก.พ. 57) มีการใช้น้ำไปแล้ว 3,533 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 67 ของแผนฯ คงเหลือปริมาณน้ำที่จะใช้ได้ตามแผนฯ อีกประมาณ 1,700 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 33 ของแผนฯ
ผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งทั้งในเขตและนอกเขตพื้นที่ชลประทานของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ล่าสุด(ณ 30 ม.ค. 57) พบว่ามีการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งไปแล้วกว่า 8.55 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 168 ของแผนทั้งหมด(แผนกำหนดไว้ 5.09 ล้านไร่) แยกเป็นพื้นที่ทำนาปรัง 8.29 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 175 ของแผน(แผนกำหนดไว้ 4.74 ล้านไร่) และพืชไร่-พืชผัก 0.26 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 74 ของแผน(แผนกำหนดไว้ 0.35 ล้านไร่)
อย่างไรก็ตาม ยังคงพบว่าพื้นที่ทำนาปรังในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จนถึงขณะนี้เกินแผนที่กำหนดไว้ ไปแล้วกว่า 2 เท่า หรือคิดเป็นร้อยละ 201 ของแผนฯ แม้จะมีการรณรงค์ให้งดทำนาปรังอย่างต่อเนื่องก็ตาม จึงขอย้ำให้เกษตรกรให้ความร่วมมือในการงดทำนาปรังต่อเนื่องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ เพียงพอใช้ไม่ขาดแคลน
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 18 ก.พ.57 นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึง สถานการณ์ภัยแล้งในจังหวัดที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าทางจังหวัดยังไม่มีการประกาศพื้นที่ใดเป็นภัยแล้งอย่างชัดเจน แต่ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อช่วยเหลือในกรณีที่เกิดภัยแล้งขึ้น โดยมีการตั้งศูนย์ขึ้นในระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น ให้ทั้ง 32 อำเภอ ตรวจข้อมูล และมีการประชุมร่วมกับทางชลประทาน ให้ความสำคัญกับน้ำอุปโภค บริโภค เป็นอันดับแรก น้ำเพื่อการเกษตรรองลงมา รวมทั้งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมสิ่งสุดท้าย
นายวินัย กล่าวต่อว่า ส่วน น้ำในอ่างเก็บน้ำ 5 แห่ง ภาพรวมมีประมาณ 91% แต่เขื่อนที่หรืออ่างเก็บน้ำมากที่สุด คือ เขื่อนลำแซะ อ.ครบุรี มีถึง 103% รองลงมาเป็นเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว แต่น้ำส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานเป็นหลัก พี่น้องประชาชนเกษตรกรได้ทำการสูบน้ำไปทำนาปรัง ตนจึงอยากฝากพี่น้องประชาชนว่า ในช่วงฤดูแล้งนี้เรามีการประกาศว่าให้งดทำนาปรังแล้วให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำ น้อย ไม่เช่นนั้นแล้วปลายน้ำจะไม่ได้รับน้ำจากการปล่อยของเขื่อนลงไป
ส่วน เรื่องของงบประมาณ ขณะนี้มีส่วนของท้องถิ่นที่ต้องช่วยเหลืออันดับแรก แต่หลังจากที่จังหวัดประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งแล้วจะมีงบช่วยเหลือ ประมาณ 20 ล้านบาท หลังจากนั้นส่วนของความเสียหายการเกษตรจะรวบรวมข้อมูลส่งให้ทางกระทรวง เกษตรฯ ของบส่วนกลางมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนต่อไป ขณะนี้ทางรัฐบาลให้ช่วยดูแลและแก้ไขปัญหาให้มีการบูรณาการกันระหว่างหน่วย งานต่างๆ ในพื้นที่มีการเตรียมความพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือในการที่จะช่วยประชาชน
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 57 นางเตือนใจ สุขพัทธี อายุ 54 ปี ชาวตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชี้ให้ดูสภาพของแผ่นดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาของตนเองและญาติ เนื้อที่กว่าครึ่งไร่ ที่พังทรุดตัวลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ลึกถึง 7 เมตร กว้างกว่า 30 เมตร ยาวตามแม่น้ำเกือบ 100 เมตร โดยที่ดินเริ่มพังอย่างรุนแรงเมื่อ 2-3 วันก่อน และถึงวันนี้ยังเกิดรอยแยกของดิน และพังลงแม่น้ำเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่ในแม่น้ำเจ้าพระยา มีระดับน้ำน้อยกว่าทุกปี และมีเรือบรรทุกทรายลากผ่านตลอดทั้งวัน ซึ่งบ้านทรงไทยเก่าแก่อายุ 70 ปีของนางเตือนใจ ได้พังเสียหายลงไปในแม่น้ำ และมีการรื้อไม้เก่าขึ้นมาได้บางส่วน โดยมีการนำมาปลูกเป็นที่พักชั่วคราวในจุดที่ห่างออกไป
ส่วนนางสายหยุด ปิ่นประเสริฐ อายุ 61 ปี ชาวตำบลบ้านใหม่ กล่าวว่า พอหลังท่วมและเข้าหน้าร้อน ระดับน้ำจะลดต่ำลงมาก และที่ดินริมตลิ่งจะพังตามลงไป เมื่อปีที่แล้วบ้านของตนเองก็พังเสียหาย และตนเองก็รื้อย้ายมาปลูกห่างจากจุดเดิม 100 เมตร แต่มาวันนี้ติล่งพังเข้ามาหาตนเองอีก 30 เมตร เชื่อว่าหากยังพังต่อไป ปีหน้าจะพังถึงบ้านที่เคยรื้อหนีมากปลูกอีกครั้ง และตนเองก็ไม่มีเงินจะไปรื้อหนีแล้ว เพราะของเก่ายังใช้หนี้สินไม่หมด
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านวิงวอนขอให้มีการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ดีกว่านี้ เพราะเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก พอน้ำเหนือหลากก็ท่วมสูง พอแล้งน้ำแห้ง ตลิ่งริมแม่น้ำพังลงจำนวนมาก ก่อนหน้านี้เป็นการพังแบบพังลง 1-2 เมตร แต่ปัจจุบันพังแบบแผ่นดินทรุดที่ละ 20-30 เมตร จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐเข้าดำเนินการศึกษาและหาทางแก้ไขต่อไป เพราะชาวบ้านไม่มีกำลังเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหา
นายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการการประปานครหลวง หรือ กปน. ร่วมกับ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน ร่วมแก้ไขปัญหาน้ำลุ่มเจ้าพระยา ประสบปัญหาน้ำน้อย และเกิดปัญหาน้ำเค็ม โดย นายธนศักดิ์ เปิดเผยว่า ปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปามากจากเดิมลิ่มความเค็มจะขึ้นถึงสถานีสูบน้ำดิบสำแล อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นจุดรับน้ำดิบฝั่งตะวันออกของ กปน.ไม่กี่วัน และเกิดช่วงเดือน เม.ย. - พ.ค. แต่ในปีนี้ปัญหาน้ำเค็มมาเร็วกว่าปกติตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ จึงต้องบริหารจัดการกระบวนการผลิตน้ำประปาใหม่และรอจนกว่าลิ่มความเค็มจะลดต่ำลง จึงจะทำการสูบน้ำดิบตามปกติ รวมถึงการยกระดับน้ำในคลองประปาให้สูงขึ้น พร้อมระบุว่า ในการหารือครั้งนี้มีแนวทางเพิ่มน้ำในลุ่มเจ้าพระยา โดยนำน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง ซึ่งปีนี้มีปริมาณมากและเพียงพอผ่านคลองพระยาบรรลือ ส่วนอีกทางผ่านคลองท่าสารวังปลา-คลองจรเข้สามพัน เข้าลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ขณะที่เฟซบุ๊ก ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน รายงานวันนี้ (20 ก.พ. 57) ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา วัดได้ตามจุดต่างๆ ที่สำคัญ ดังนี้
1.บริเวณกรมชลประทาน สามเสน วัดได้ 5.48 กรัม/ลิตร (ระยะทางจากปากอ่าวไทย ถึงสถานีวัดของกรมชลประทาน สามเสน ประมาณ 60 กิโลเมตร)
2.บริเวณท่าน้ำนนทบุรี วัดได้ 4.43 กรัม/ลิตร (ระยะทางจากปากอ่าวไทย ถึงสถานีวัดท่าน้ำนนทบุรี ประมาณ 67 กิโลเมตร)
3.บริเวณโรงสูบน้ำดิบของการประปานครหลวง หรือ โรงสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี วัดได้ 0.23 กรัม/ลิตร (ระยะทางจากปากอ่าวไทย ถึงสถานีวัดโรงสูบน้ำสำแล ประมาณ 96 กิโลเมตร)
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่กรมชลประทาน และการประปานครหลวง ได้ร่วมกันหาแนวทางในการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง และส่วนหนึ่งจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบนลงมาเจือจางน้ำเค็ม ทำให้ค่าความเค็มที่โรงสูบน้ำสำแล ลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ และสามารถนำไปผลิตน้ำประปา เพื่อหล่อเลี้ยงคนกรุงเทพมหานคร กว่า 10 ล้านคน ได้อย่างไม่มีปัญหาอีกครั้งหนึ่ง
หมายเหตุ - ค่าความเค็มสำหรับการผลิตน้ำประปา จะต้องไม่เกินค่ามาตรฐานที่ 0.25 กรัม/ลิตร
จ.มหาสารคาม ภัยแล้งมาเยือนส่อเค้ารุนแรง ชาวบ้าน 3 หมู่บ้าน ขาดน้ำ อุปโภค-บริโภค คาดเข้าเดือนเมษายนจะทวีความรุนแรง ขณะที่หน่วยราชการเร่งช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.57 นายทรงเกียรติ วรรณจันทร์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแก่งเลิงจาน อ.เมือง จ.มหาสารคาม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งที่จังหวัดมหาสารคาม เริ่มส่อเค้ารุนแรงตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดเริ่มได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค ซึ่งหน่วยงานราชการจะต้องเร่งสำรวจความเดือดร้อนของประชาชน และนำน้ำไปแจกจ่ายเพื่อบรรเทาทุกข์ เบื้องต้น ประชาชนในพื้นที่ 3 หมู่บ้านเขตตำบลแก่งเลิงจาน เริ่มประสบกับภัยแล้ง น้ำที่เก็บไว้อุปโภคบริโภคในครัวเรือนเริ่มลดลง เนื่องจากฤดูฝนที่ผ่านมา มีฝนตกในปริมาณน้อย ส่งผลให้น้ำในโอ่งเริ่มไม่เพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค อีกทั้ง น้ำประปาใต้ดิน ไม่สามารถนำมาดื่มกินได้ เนื่องจากไม่มีการฆ่าเชื้อโรค และไม่ได้มาตรฐาน
ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ ล่าสุด(29 เม.ย. 57) มีปริมาณน้ำรวมกัน จำนวน 37,714 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 54 ของความจุอ่างฯขนาดใหญ่รวมกันทั้งหมด มีปริมาณน้ำใช้การได้คิดเป็นจำนวน 14,211 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 30 ของความจุอ่างฯทั้งหมด
สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ในพื้นที่ภาคเหนือ อาทิ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จ.เชียงใหม่ มีปริมาณน้ำ 136 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 51 ของความจุอ่างฯ เขื่อนกิ่วลม จ.ลำปาง มีปริมาณน้ำ 73 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 69 ของความจุอ่างฯ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาณน้ำ 5,409 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 40 ของความจุอ่างฯ เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำ 4,083 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 43 ของความจุอ่างฯ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำ 237 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของความจุอ่างฯ
ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ เขื่อนห้วยหลวง จ.อุดรธานี มีปริมาณน้ำ 31 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 23 ของความจุอ่างฯ เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร มีปริมาณน้ำ 182 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 35 ของความจุอ่างฯ เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ มีปริมาณน้ำ 353ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 18 ของความจุอ่างฯ เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา มีปริมาณน้ำ 188 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของความจุอ่างฯ เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ มีปริมาณน้ำ 85 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของความจุอ่างฯ
สำหรับในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก ที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาณน้ำ 228 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของความจุอ่างฯ เขื่อนทับเสลา จ.อุทัยธานี มีปริมาณน้ำ 26 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของความจุอ่างฯ เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก มีปริมาณน้ำ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 8 ของความจุอ่างฯ เขื่อนสียัด จ.ฉะเชิงเทรา มีปริมาณน้ำ 122 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 29 ของความจุอ่างฯ เขื่อนบางพระ จ.ชลบุรี มีปริมาณน้ำ 51 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 44 ของความจุอ่างฯ
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า ฤดูฝนของประเทศไทย ปีนี้จะเริ่มต้นช้ากว่าปกติ ประมาณสัปดาห์ที่ 3 – 4 ของเดือนพฤษภาคม ปริมาณฝนรวม คาดว่า จะน้อยกว่าค่าปกติและน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงต้นฤดูฝน แต่อย่างไรก็ตามช่วงปลายฤดูฝนหลายพื้นที่ของประเทศไทยตอนบนจะมีปริมาณฝนอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงค่าปกติ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงขอความร่วมมือเกษตรกรและประชาชน ในแต่ละพื้นที่โครงการฯ ให้ใช้น้ำอย่างประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดด้วย