บันทึกเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554
ปี 2554 ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี และมีพื้นที่ประสบภัยกระจายตัวในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางที่เกิดน้ำท่วมหนักเป็นระยะเวลานาน ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งเกิดน้ำท่วมหนักในรอบ 70 ปี หากนับจากเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานครในปี 2485
อุทกภัยครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างกนักทั้งทางภาคการเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคส่วนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก
พื้นที่ประสบอุทกภัยและมีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2554 จนเดือนพฤศจิกายน รวมทั้งสิ้น 65 จังหวัด ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต 657 ราย สูญหาย 3 คน ราษฎรเดือดร้อน 4,039,459 ครัวเรือน 13,425,869 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2,329 หลัง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 96,833 หลัง พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะได้รับความเสียหาย 11.20 ล้านไร่ ถนน 13,961 สาย ท่อระบายน้ำ 777 แห่ง ฝาย 982 แห่ง ทำนบ 142 แห่ง สะพาน/คอสะพาน 724 แห่ง บ่อปลา/บ่อกุ้ง/หอย 231,919 ไร่ ปศุสัตว์ 13.41 ล้านตัว
ปัจจัยที่ส่งผลทำให้เกิดอุทกภัย
... ปัจจัยธรรมชาติ ...
1.ฝนที่มาเร็วกว่าปกติและปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2554 สูงกว่าค่าเฉลี่ย 35% เนื่องมาจาก
ปรากฎการณ์ลานีญา ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 โดยช่วงเดือนมกราคม ดัชนี ENSO เท่ากับ -1.6 ซึ่งเป็นลานีญาค่อนข้างแรง แต่สภาพลานีญาอ่อนตัวลงจนเข้าสู่สภาพเป็นกลาง (ดัชนี ENSO อยู่ระหว่าง -0.5 ถึง 0.5) ช่วงระหว่างเดือนมิ.ย.- ก.ย. และค่อยๆ เริ่มกลับสู่สภาวะลานีญาอีกครั้งช่วงปลายปี ส่งผลให้ปี 2554 ฝนมาเร็วกว่าปกติตั้งแต่เดือนมีนาคม และมีปริมาณฝนมากกว่าปรกติเกือบทุกเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม และเดือนเมษายนมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 277 และ 45 ตามลำดับ
พายุ ปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากพายุที่เคลื่อนตัวมาจากทะเลจีนใต้ ทั้งหมด 5 ลูก ได้แก่ พายุโซนร้อนไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก โดยพื้นที่ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักสุด โดยช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีพายุโซนร้อน "ไหหม่า" พัดถล่มพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถัดมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม น้ำในพื้นที่ภาคเหนือยังไม่ทันระบายได้หมด พายุ “นกเตน” ได้พัดถล่มซ้ำพื้นที่เดิมอีก ทำให้ปริมาณน้ำยิ่งเพิ่มสูงขึ้น หลังจากนี้ได้มีพายุที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องอีกคือ พายุ “ไห่ถาง” ที่ส่งผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำโขง ในช่วงวันที่ 27-29 กันยายน 2554 ต่อมาคือ พายุ “เนสาด” ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยต่อเนื่องจากพายุ “ไห่ถาง” บริเวณที่ได้รับผลกระทบยังคงเป็นพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและด้านตะวันออกของภาคเหนือ ส่วนพายุลูกสุดท้ายคือ พายุนาลแก ที่อิทธิพลของพายุส่งผลให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้นและทำให้มีฝนมากในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก
ช่วงวันที่ 5-7 ตุลาคม 2554
ร่องมรสุมและลมประจำท้องถิ่น ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม มีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณตอนบนและตอนกลางของประเทศ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ นอกจากนี้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดบริเวณทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังค่อนข้างแรง เป็นปัจจัยที่เสริมให้ปริมาณฝนยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาเฉพาะปริมาณฝนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ยังพบอีกว่าปี 2554 ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ต้นปีมีค่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปริมาณฝนรายเดือนสะสม ของสำนักการระบายน้ำเฉลี่ยคาบ 20 ปี (2534-2553) และ ปริมาณฝนรายเดือนสะสมของกรมอุตุนิยมวิทยาเฉลี่ยคาบ 30 ปี (2524-2553) โดยในวันที่ 1 ธันวาคม 2554 มีปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2,257.5 มิลลิเมตร ซึ่งปริมาณฝนรายเดือนสะสมเฉลี่ยคาบ 20 ปี ของสำนักการระบายน้ำ สิ้นเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 1,654.4 มิลลิเมตร ส่วนปริมาณฝนรายเดือนสะสมเฉลี่ยคาบ 30 ปี ของกรมอุตุนิยมวิทยา สิ้นเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 1,973.5 มิลลิเมตร
2.ปริมาณน้ำไหลลงอ่างสะสมของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีข้อจำกัดในการระบายเนื่องจากสภาพน้ำท่วมในพื้นที่ท้ายเขื่อน
3.น้ำทะเลหนุนบริเวณอ่าวไทย ช่วงปลายเดือนตุลาคม กลางเดือนพฤศจิกายน และปลายเดือนพฤศจิกายน ทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างล่าช้า
... ปัจจัยทางกายภาพ ...
1. พื้นที่ต้นน้ำ มีป่าไม้รวมทั้งคุณภาพป่าไม้ลดลง
2. โครงสร้างน้ำไม่มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ฝนในปัจจุบัน
3. ระบบโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมมีประสิทธิภาพลดลง จากการทรุดตัวของพื้นที่ ขาดการบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เปลี่ยนไป
4. ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการป้อนน้ำเข้าสู่ระบบสูบและอุโมงค์ระบายน้ำไม่สมดุลกับศักยภาพของระบบสูบและอุโมงค์
5. สะพานหลายแห่งเป็นปัญหาต่อการระบาย จากขนาดตอม่อใหญ่ ช่องสะพานขวางทางน้ำ
6. สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เช่น คลองเปรมประชากร และคลองลาดพร้าว
... ปัจจัยทางด้านการบริหารจัดการน้ำ ...
1. พื้นที่หน่วงน้ำในภาคเหนือตอนล่างขาดการดูแลและถูกรุกล้ำ ทำให้ความจุหน่วงน้ำลดลง เช่น บึงบอระเพ็ด บึงสีไฟ
2. การผันน้ำออกทางฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นไปอย่างไม่เต็มศักยภาพสูงสุด
3. ปริมาณน้ำระบายจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ไหลมายังเขื่อนพระรามหก ไม่ได้ผันเข้าสู่คลองระพีพัฒน์แยกใต้อย่างเต็มศักยภาพ ทำให้น้ำส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่อำเภอพระนครศรีอยุธยา
4. คลองระพีพัฒน์ไม่สามารถผันน้ำเข้าทุ่งตะวันออกได้ และในทางกลับกัน เรือกสวนไร่นาในทุ่งตะวันออกกลับสูบน้ำเข้าสู่คลองระพีพัฒน์
5. ปัญหาการบริหารการระบายผ่านแนวรอยต่อที่มีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ
6. ประชาชนและองค์กรส่วนย่อย สร้างพนังและคันของตัวเอง ทำให้การระบายในภาพรวมไม่สามารถดำเนินการได้
เดือน
|
พื้นที่ (ล้านไร่)
|
มกราคม
|
0.077 |
กุมภาพันธ์
|
0 |
มีนาคม
|
1.227 |
เมษายน
|
3.205
|
พฤษภาคม
|
0.077 |
มิถุนายน
|
0.462 |
กรกฎาคม
|
0.885
|
สิงหาคม
|
5.688 |
กันยายน
|
15.378 |
ตุลาคม | 18.494 |
พฤศจิกายน | 16.669 |
ธันวาคม | 6.934 |
จังหวัด |
พื้นที่ (ล้านไร่) |
กรุงเทพมหานคร | 0.622 |
สมุทรปราการ | 0.230 |
นนทบุรี | 0.336 |
ปทุมธานี | 0.879 |
พระนครศรีอยุธยา | 1.515 |
อ่างทอง | 0.529 |
ลพบุรี | 0.606 |
สิงห์บุรี | 0.468 |
ชัยนาท | 0.805 |
สระบุรี | 0.394 |
ชลบุรี | 0.193 |
ระยอง | 0.010 |
ฉะเชิงเทรา | 1.113 |
ปราจีนบุรี | 0.614 |
นครนายก | 0.652 |
สระแก้ว | 0.017 |
นครราชสีมา | 0.545 |
บุรีรัมย์ | 0.165 |
สุรินทร์ | 0.323 |
ศรีสะเกษ | 0.407 |
อุบลราชธานี | 0.475 |
ยโสธร | 0.362 |
ชัยภูมิ | 0.345 |
อำนาจเจริญ | 0.109 |
หนองบัวลำภู | 0.035 |
ขอนแก่น | 0.365 |
อุดรธานี | 0.485 |
เลย | 0.005 |
หนองคาย | 0.712 |
มหาสารคาม | 0.237 |
ร้อยเอ็ด | 0.919 |
กาฬสินธุ์ | 0.221 |
สกลนคร | 0.480 |
นครพนม | 0.596 |
มุกดาหาร | 0.074 |
เชียงใหม่ | 0.205 |
ลำพูน | 0.047 |
ลำปาง | 0.302 |
อุตรดิตถ์ | 0.443 |
แพร่ | 0.086 |
น่าน | 0.070 |
พะเยา | 0.330 |
เชียงราย | 0.601 |
แม่ฮ่องสอน | 0.014 |
นครสวรรค์ | 1.989 |
อุทัยธานี | 0.292 |
กำแพงเพชร | 0.992 |
ตาก | 0.085 |
สุโขทัย | 0.957 |
พิษณุโลก | 1.291 |
พิจิตร | 1.453 |
เพชรบูรณ์ | 0.407 |
ราชบุรี | 0.134 |
กาญจนบุรี | 0.129 |
สุพรรณบุรี | 1.555 |
นครปฐม | 0.827 |
สมุทรสาคร | 0.098 |
สมุทรสงคราม | 0.002 |
เพชรบุรี | 0.038 |
นครศรีธรรมราช | 1.753 |
กระบี่ | 0.006 |
พังงา | 0.005 |
สุราษฎร์ธานี | 0.672 |
ชุมพร | 0.018 |
สงขลา | 0.315 |
สตูล | 0.005 |
ตรัง | 0.126 |
พัทลุง | 0.455 |
ปัตตานี | 0.025 |
ยะลา | 0.004 |
นราธิวาส | 0.005 |
ปรากฎการณ์ลานีญา
ปรากฏการณ์ลานีญาเป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตก บริเวณใกล้ประเทศฟิลิปปินส์สูงกว่าปรกติ ส่วนทางฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกมีอุณหภูมิต่ำกว่าปรกติ ดูได้จากค่าดัชนี ONI (Ocean Nino Index) ที่มีค่าน้อยกว่า -0.5 โดยจะส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกมากกว่าปรกติ สำหรับในปี 2553 ปรากฏการณ์ลานีญาเกิดขึ้นช่วงกลางปีและต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2554 โดยมีกำลังแรงช่วงปลายปี 2553 จนถึงต้นปี 2554 จากนั้นสภาพลานีญาอ่อนตัวลงจนเข้าสู่สภาพเป็นกลาง (ดัชนี ENSO อยู่ระหว่าง -0.5 ถึง 0.5) ช่วงระหว่างเดือนมิ.ย.- ก.ย. และค่อยๆ เริ่มกลับสู่สภาวะลานีญาอีกครั้งช่วงปลายปี ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกมากกว่าปรกติโดยเฉพาะช่วงปลายปี 2553 จนถึงกลางปี 2554 อีกทั้งยังทำให้ฝนมาเร็วกว่าปกติ โดยในปี 2554 ฝนเริ่มตกตั้งแต่เดือนมีนาคม
ตาราง ดัชนี ONI (ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เบี่ยงเบนไปจากปกติทุก ๆ 3 เดือนในบริเวณ Nino 3.4 [5oN-5oS, 120o-170oW]) สีแดง หมายถึง ปรากฏเอลนิโญ (ค่ามากกว่า 0.5 oC) ส่วนสีน้ำเงิน หมายถึง ปรากฏการณ์ลานีญา (ค่าน้อยกว่า -0.5 oC) โดยต้องมีค่ามากกว่า +/- 0.5oC ติดต่อกันอย่างน้อย 5 ครั้ง
ที่มา: http://www.cpc.ncep.noaa.gov/products/analysis_monitoring/ensostuff/ensoyears.shtml
Pacific Decadal Oscillation (PDO) คือ ปรากฏการณ์ทางสมุทรศาสตร์ที่อุณหภูมิน้ำทะเลฟากตะวันออกและฟากตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ข้างหนึ่งจะอุ่นกว่าปกติ ส่วนอีกข้างจะเย็นกว่าปกติ ซึ่งจะเกิดการสลับข้างกันทุก 30 ปี กรณีค่าน้อยกว่า -0.5 หมายถึง แนวโน้มประเทศไทยอาจมีฝนตกมาก ซึ่งจากตารางจะพบว่าค่า PDO เริ่มน้อยกว่า -0.5 มาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2553 ต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2554 และเกิดขึ้นต่อเนื่องอีกครั้งในช่วงกลางปี 2554 จนถึงช่วงต้นปี 2555 ซึ่งส่งผลทำให้ประเทศไทยมีฝนตกมากในช่วงเวลาดังกล่าว
ตารางดัชนี PDO
Indian Ocean Dipole (IOD) คือ การเคลื่อนไหวไปมาสลับกันสองด้านระหว่างด้านฝั่งตะวันตกและด้านฝั่งตะวันออกของกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งส่งผลต่อการเกิดฝนบริเวณประเทศไทยและพื้นที่ใกล้เคียง กรณีค่าดัชนีน้อยกว่า -0.50 จะส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยมีแนวโน้มฝนตกมาก แต่จะพบว่าในช่วงปี 2553-2555 ไม่มีค่าดัชนีที่น้อยกว่า -0.5 ซึ่งหมายถึง ดัชนีตัวนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดฝนตกมากในปี 2554
ตารางดัชนี IOD
อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่ต่างไปจากปกติ (ม.ค.-ธ.ค. 2554)
พายุที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในปี 2554
ปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากพายุที่เคลื่อนตัวมาจากทะเลจีนใต้ ทั้งหมด 5 ลูก ได้แก่ พายุโซนร้อนไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก โดยพื้นที่ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักสุด โดยช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีพายุโซนร้อน "ไหหม่า" พัดถล่มพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำยมเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ถัดมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม น้ำในพื้นที่ภาคเหนือยังไม่ทันระบายได้หมด พายุ “นกเตน” ได้พัดถล่มซ้ำพื้นที่เดิมอีก ทำให้ปริมาณน้ำยิ่งเพิ่มสูงขึ้น หลังจากนี้ได้มีพายุที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องอีกคือ พายุ “ไห่ถาง” ที่ส่งผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำโขง ในช่วงวันที่ 27-29 กันยายน 2554 ต่อมาคือ พายุ “เนสาด” ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยต่อเนื่องจากพายุ “ไห่ถาง” บริเวณที่ได้รับผลกระทบยังคงเป็นพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและด้านตะวันออกของภาคเหนือ ส่วนพายุลูกสุดท้ายคือ พายุนาลแก ที่อิทธิพลของพายุส่งผลให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้นและทำให้มีฝนมากในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก ช่วงวันที่ 5-7 ตุลาคม 2554
พายุโซนร้อน “ไหหม่า”
พายุโซนร้อน “ไหหม่า” ในทะเลจีนใต้ตอนบนเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงค่ำของวันที่ 24 มิ.ย. 54 จากนั้นได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่น และเคลื่อนตัวผ่านประเทศลาวพร้อมกับอ่อนกำลังลงอีกเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำก่อนเคลื่อนเข้าภาคเหนือของประเทศไทยบริเวณจังหวัดน่าน และสลายตัวไปในพื้นที่ของภาคเหนือเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 54 อิทธิพลของพายุลูกนี้ทำให้มีฝนตกหนาแน่นเป็นบริเวณกว้างในภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และตากมีรายงานฝนตกหนักถึงหนักมากต่อเนื่องในช่วงวันที่ 25 - 26 มิ.ย. 54 ก่อให้เกิดน้ำท่วม
ฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง
พายุ “ไหหม่า” ระหว่างวันที่ 15-24 มิถุนายน 2554
แผนภาพฝนจาก NASA แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 23-27 มิถุนายน 2554 และแผนภาพฝนสังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของกรมอุตุนิยมวิทยา แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 23-27 มิถุนายน 2554
พายุโซนร้อน “นกเตน”
พายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK-TEN) ที่มีแหล่งกำเนิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลัง แรงในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตกเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 และได้ทวีกำลังแรงขึ้นตามลำดับจนกระทั่งเป็น พายุโซนร้อนแล้วเคลื่อนผ่านเกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์ ลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนกลาง จากนั้นเคลื่อนตัวทางทิศ ตะวันตกค่อนไปทางเหนือผ่านเกาะไหหลำ และอ่าว ตังเกี๋ยขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในวันที่ 30 กรกฎาคม 2554 จากนั้นเคลื่อนตัวผ่านประเทศลาวพร้อมกับอ่อน กำลังเป็นพายุดีเปรสชันในวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดน่านในวันเดียวกัน แล้วอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ปกคลุม ภาคเหนือของประเทศไทยบริเวณจังหวัดแพร่ ลำปาง เชียงใหม่และแม่ฮ่อนสอนในเวลาต่อมา
พายุ “นกเตน” ระหว่างวันที่ 24-30 กรกฎาคม 2554
แผนภาพฝนจาก NASA แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 30 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม 2554
และ แผนภาพฝนสังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของกรมอุตุนิยมวิทยา
แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 23 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม 2554
พายุโซนร้อน “ไห่ถาง”
พายุโซนร้อน “ไห่ถาง” (HAITANG) มีแหล่งกำเนิดบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2554 และวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 พายุนี้ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองเว้ ประเทศเวียดนาม แล้วอ่อนกาลังลงเป็นพายุดีเปรสชันก่อนเคลื่อนตัวผ่านประเทศลาวแล้วอ่อนกาลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ากาลังแรงเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2554
พายุ “ไห่ถาง” ระหว่างวันที่ 24-26 กันยายน 2554
แผนภาพฝนจาก NASA แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 27-29 กันยายน 2554
และ แผนภาพฝนสังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของกรมอุตุนิยมวิทยา
แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 27-29 กันยายน 2554
พายุใต้ฝุ่น “เนสาด”
วันที่ 28 กันยายน 2554 พายุไต้ฝุ่น“เนสาด” (NESAT) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 17.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 116.5 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 120 กม./ชม. เคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 22 กม./ชม. ต่อมาในวันที่ 29 กันยายน 2554 พายุนี้อยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 19.8 องศาเหนือ ลองจิจูด 112.1 องศาตะวันออก หรือห่างจากเกาะไหหลำ ด้านตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 120 กม./ชม. และเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 25 กม./ชม. ต่อมาในวันที่ 30 กันยายน 2554 พายุลูกนี้อยู่บริเวณอ่าวตังเกี๋ย มีศูนย์กลาง อยู่ห่างประมาณ 120 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 21.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 107.3 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และในวันที่ 1 ตุลาคม 2554 พายุได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่น
โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือ อย่างช้าๆ หลังจากนั้นได้อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในระยะต่อมา พายุลูกนี้ส่งผลทำให้ด้านตะวันออกของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง เลย หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร และนครพนม
พายุ “เนสาด” ระหว่างวันที่ 23-30 กันยายน 2554
แผนภาพฝนจาก NASA แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 29 กันยายน – 3 ตุลาคม 2554 และ
แผนภาพฝนสังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของกรมอุตุนิยมวิทยา
แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 29 กันยายน – 3 ตุลาคม 2554
พายุโซนร้อน “นาลแก”
วันที่ 3 ตุลาคม 2554 พายุโซนร้อน “นาลแก” บริเวณทะเลจีนใต้ มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 450 กิโลเมตร ทางตะวันออก ของเกาะไหหลำ ประเทศจีน หรือที่ ละติจูด 18.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 114.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่อมาในวันที่ 4 ตุลาคม 2554 พายุลูกนี้ยังคงอยู่ที่บริเวณทะเลจีนใต้ มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 100 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเกาะไหหลำ ประเทศจีน หรือที่ ละติจูด 18.1 องศาเหนือ ลองจิจูด 111.1 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และในวันที่ 5 ตุลาคม 2554 พายุดีเปรสชัน “นาลแก” เคลื่อนตัวอยู่บริเวณอ่าวตังเกี๋ย มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 150 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 18.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในเวลาต่อมา
พายุ “นาลแก” ระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 5 ตุลาคม 2554
แผนภาพฝนจาก NASA แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 5-8 ตุลาคม 2554 และ
แผนภาพฝนสังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของกรมอุตุนิยมวิทยา
แสดงปริมาณฝนสะสมช่วงวันที่ 5-8 ตุลาคม 2554
รายละเอียดเพิ่มเติมุ :
1.ภาพเส้นทางพายุ : http://weather.unisys.com/hurricane/index.php
2.แผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมจาก NASA : http://disc2.nascom.nasa.gov/Giovanni/tovas/realtime.3B42RT.2.shtml#description
3.แผนภาพฝนสังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของกรมอุตุนิยมวิทยา : http://www.thaiwater.net/hydro_report/gallery/index.php
ร่องมรสุม
ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมมีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณตอนบนและตอนกลางของประเทศ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ และการที่มีร่องมรสุมพาดผ่านอย่างต่อเนื่องรวมทั้งการได้รับผลกระทบจากพายุถึง 5 ลูก ทำให้ปริมาณน้ำที่เข้าท่วมหลากในแต่ละพื้นที่ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
เดือนพฤษภาคม มีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณตอนกลางของประเทศ ช่วงวันที่ 13-20 พฤษภาคม 2554 และในช่วงวันที่ 23-31 พฤษภาคม มีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณตอนกลางของประเทศและเคลื่อนตัวขึ้นไปทางตอนบนของประเทศในช่วงปลายเดือน ร่องมรสุมทั้งสองครั้งทำให้เกิดฝนตกหนักบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก
เดือนมิถุนายน มีร่องมรสุมพาดผ่านประเทศไทย 3 ครั้ง คือ ช่วงวันที่ 1-2 มิถุนายน 2554 พาดผ่านบริเวณตอนกลางของประเทศ ช่วงวันที่ 13-19 มิถุนายน 2554 พาดผ่านทางด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงวันที่ 28-29 มิถุนายน 2554 พาดผ่านบริเวณประเทศพม่าและบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย
เดือนกรกฎาคม มีร่องมรสุมพาดผ่านประเทศไทย 2 ครั้ง คือ ช่วงวันที่ 11-17 กรกฎาคม 2554 พาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และช่วงวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2554 พาดผ่านบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นกัน แต่ได้เลื่อนต่ำลงมาจากครั้งแรกเล็กน้อย
เดือนสิงหาคม มีร่องมรสุมพาดผ่านประเทศไทย 5 ครั้ง คือ ช่วงวันที่ 1-3 สิงหาคม 2554 พาดผ่านบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงวันที่ 7-8 สิงหาคม ยังคงพาดผ่านบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ได้เลื่อนขึ้นสู่ตอนบนเล็กน้อย ต่อมามีร่องมรสุมพาดผ่านอีกครั้งช่วงวันที่ 10-12 สิงหาคม 2554 ช่วงวันที่ 15-22 สิงหาคม 2554 และช่วงวันที่ 24-30 สิงหาคม 2554 โดยยังคงพาดผ่านบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยร่องมรสุมมีการเคลื่อนลดต่ำลงด้านล่างสลับกับการเคลื่อนขึ้นสู่ด้านบน
เดือนกันยายน มีร่องมรสุมพาดผ่านพาดประเทศไทยเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ช่วงวันที่ 4-25 กันยายน 2554 โดยร่องมรสุมมีการเคลื่อนตัวสลับขึ้นลง ทำให้พาดผ่านทั้งบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพาดผ่านบริเวณตอนกลางของประเทศบริเวณด้านตะวันตกของประเทศ ภาคกลาง และภาคตะวันออก
เดือนตุลาคม มีร่องมรสุมพาดผ่านตอนกลางของประเทศ ช่วงวันที่ 3-17 ตุลาคม 2554 ส่งผลให้บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนตกค่อนข้างมาก
ตัวอย่างภาพแผนที่อากาศที่ระดับความสูง 1.5 กิโลเมตร เหนือระดับน้ำทะเล จากแบบจำลองสภาพอากาศ WRF
ช่วงวันที่ 10 - 12 กันยายน 2554 ที่มีร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านบริเวณภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง
ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน บริเวณจังหวัดตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ปริมาณน้ำ
ในแม่น้ำปิงเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้เหตุการณ์น้ำท่วมยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
10 ก.ย. 54 |
11 ก.ย. 54 |
12 ก.ย. 54 |
หมายเหตุ : ตัวเลขค่าน้อย หมายถึง ยิ่งมีฝนมาก ตัวเลขค่ามาก หมายถึง อากาศยิ่งหนาวมาก |
29 ก.ค. 54 |
30 ก.ค. 54 |
31 ก.ค.54 |
ปริมาณฝน
ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ต้นปี
ปี 2544 ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 1,781 มิลลิเมตร ซึ่งมีค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับปริมาณฝนสะสมของปี 2549-2553 และมากกว่าปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยระหว่างปี 2493-2540 และเมื่อพิจารณาเส้นกราฟของปี 2554 ยังพบอีกว่า ปริมาณฝนสะสมเริ่มมีค่ามากกว่าปีอื่น ๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคม
แผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมรายปีเทียบค่าเฉลี่ย
จากแผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมรายปีที่สังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของสถานีตรวจอากาศกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าปี 2554 ปริมาณฝนรวมทั้งประเทศในแต่ละภาคมีปริมาณมากกว่าค่าเฉลี่ยปี 2549-2540 อีกทั้งยังมากกว่าปริมาณฝนรวมของปี 2549 และปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่มีปริมาณฝนค่อนข้างมาก และเป็นปีที่เกิดน้ำท่วมหนัก โดยปริมาณฝนรวมตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤจิกายน 2554 อยู่ที่ 1,781 มิลลิเมตร มากกว่าค่าเฉลี่ย 407 มิลลเมตร และมากกว่าปี 2549 และ 2553 อยู่ 247 และ 345 มิลลิเมตร ตามลำดับ
ค่าเฉลี่ย (2493-2540) (1,374 มม./ปี) |
2549 (1,534 มม./ปี) |
2553 (1,436 มม./ปี) |
2554 (1,781)* |
แผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมรายเดือนเทียบค่าเฉลี่ย
จากแผนภาพแสดงปริมาณฝนสะสมรายเดือนที่สังเคราะห์จากข้อมูลฝนรายวันของสถานีตรวจอากาศกรมอุตุนิยมวิทยา เปรียบเทียบกับปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยรายเดือนปี 2493-2540 ปี 2549 และปี 2553 สามารถสรุปได้ดังนี้
เดือนมกราคม ปี 2554 มีปริมาณฝนค่อนข้างมากในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักบริเวณดังกล่าว ตรงกันข้ามกับพื้นที่ตอนบนของประเทศที่ปริมาณฝนต่ำมาก เป็นผลทำให้เกิดภัยแล้ง
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2554 ปริมาณฝนโดยรวมทั้งประเทศมีค่าค่อนข้างต่ำ แต่หากพิจารณาเป็นพื้นที่จะพบว่าบริเวณภาคใต้มีฝนลดลงค่อนข้างมาก ส่วนตอนบนของประเทศเริ่มมีฝนเพิ่มขึ้นจากเดินมกราคมเล็กน้อย
เดือนมีนาคม ปี 2554 ปริมาณฝนรวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ค่อนข้างมาก และปริมาณฝนรวมทั้งประเทศมีค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 48 ปี ปี 2549 และปี 2553 โดยพื้นที่ภาคใต้มีปริมาณฝนค่อนข้างมาก ทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก ส่วนตอนบนของประเทศมีปริมาณฝนมากทางด้านตะวันตกของประเทศตั้งแต่ภาคเหนือตลอดแนวยาวลงมาจนถึงบริเวณภาคกลางตอนล่าง
เดือนเมษายน ปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศปี 2554 ยังคงมีค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับปีอื่น และในเดือนนี้ปริมาณฝนในพื้นที่ภาคเหนือเริ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะทางด้านตะวันออกของภาค
เดือนพฤษภาคม ปี 2554 ยังคงมีปริมาณฝนสะสมสูงที่สุด และมีฝนตกกระจายตัวค่อนข้างมากในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เดือนมิถุนายน ปี 2554 บริเวณภาคกลาง ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือปริมาณฝนลดลง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ยังคงมีฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่วนภาคตะวันออก บริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยเดือนนี้ ปี 2554 ยังคงมีปริมาณฝนรวมทั้งประเทศมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีอื่น
เดือนกรกฎาคม ปี 2554 ยังคงมีปริมาณฝนสะสมสูงที่สุด โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วค่อนข้างมาก
เดือนสิงหาคม ปี 2554 ปริมาณฝนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมค่อนข้างมาก โดยปริมาณฝนรวมของเดือนนี้ มีค่าอยู่ที่ 288.84 มิลลิเมตร ซึ่งน้อยกว่าเดือนสิงหาคม ปี 2553 แต่มากกว่าค่าเฉลี่ย 48 ปี และมากกว่าปี 2549
เดือนกันยายน ปี 2554 ปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศ อยูที่ 314.94 มิลลิเมตร ซึ่งมีค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับปีอื่น โดยมีฝนมากบริเวณภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก
เดือนตุลาคม ปี 2554 ปริมาณฝนลดลงจากเดือนกันยายนค่อนข้างมาก โดยยังคงมีฝนตกกระจุกตัวเป็นบางแห่งในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องจากเดือนกันยายน สำหรับปริมาณฝนรวมทั้งประเทศเดือนนี้ ปี 2554 มีปริมาณฝนรวมมากกว่ากว่าเฉลี่ย 40 ปี แต่น้อยกว่าปี 2549 และ 2553
เดือนพฤศจิกายน ปี 2554 บริเวณตอนบนของประเทศปริมาณฝนลดลงค่อนข้างมาก ส่วนภาคใต้ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก แต่ยังคงน้อยกว่าปี 2553
จะเห็นได้ว่าปี 2554 เริ่มมีฝนตกในพื้นที่ภาคเหนือตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นฝนที่มาเร็วกว่าปกติ โดยมีฝนมากด้านตะวันตกของภาคเหนือ เดือนต่อมามีฝนมากด้านตะวันออกของภาคเหนือ และหลังจากนั้นก็มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นในทุกเดือนและกระจายตัวเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเดือนกันยายนที่มีฝนมากที่สุด และเริ่มมีฝนลดลงในเดือนตุลาคม
มกราคม |
|
|
|
|
กุมภาพันธ์ |
|
|
|
|
มีนาคม |
|
|
|
|
เมษายน |
|
|
|
|
พฤษภาคม |
|
|
|
|
มิถุนายน |
|
|
|
|
กรกฎาคม |
|
|
|
|
สิงหาคม |
|
|
|
2554 288.84 มม./เดือน |
กันยายน |
|
|
|
|
ตุลาคม |
|
|
|
|
พฤศจิกายน |
|
|
|
|
ธันวาคม |
|
|
|
|
ปริมาณฝนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ปี 2554 ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ต้นปีมีค่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปริมาณฝนรายเดือนสะสม ของสำนักการระบายน้ำเฉลี่ยคาบ 20 ปี (2534-2553) และ ปริมาณฝนรายเดือนสะสมของ กรมอุตุนิยมวิทยาเฉลี่ยคาบ 30 ปี (2524-2553) โดยในวันที่ 1 ธันวาคม 2554 มีปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2,257.5 มิลลิเมตร ซึ่งปริมาณฝนรายเดือนสะสมเฉลี่ยคาบ 20 ปี ของสำนักการระบายน้ำ สิ้นเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 1,654.4 มิลลิเมตร ส่วนปริมาณฝนรายเดือนสะสมเฉลี่ยคาบ 30 ปี ของกรมอุตุนิยมวิทยา สิ้นเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 1,641.9 มิลลิเมตร
หากพิจารณาฝนสะสมรายเดือนของปี 2554 พบว่าเดือนตุลาคมมีปริมาณฝนสะสมสูงที่สุดอยู่ที่ 388.0 มิลลิเมตร และในปีนี้ปริมาณฝนเริ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นฝนที่มาเร็วกว่าปกติ
ปริมาณน้ำในเขื่อน
ปริมาณน้ำไหลเข้าสะสม น้ำในอ่าง และน้ำระบายสะสมของอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ สะสมของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ ของเขื่อนดังกล่าวมีค่าสูงที่สุดตั้งแต่มีการสร้างเขื่อน โดยเขื่อนภูมิพล เริ่มมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ สะสมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนช่วงเดือนเมษายน ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำไหลเข้าฯ สะสม เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนพฤษภาคม ส่วนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ สะสมริ่มเพิ่มขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน และเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวของทั้ง 3 เขื่อน เปรียบเทียบกับปี 2538 2549 และ 2553 ซึ่งเป็นปีที่เกิดน้ำท่วมหนัก พบว่าปี 2554 ปริมาณน้ำไหลเข้าฯ สะสมมากกว่าปีที่เกิดน้ำท่วมหนักในอดีตค่อนข้างมาก
เขื่อนภูมิพล | ||
ปริมาณน้ำไหลเช้าสะสมอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล |
ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล |
ปริมาณน้ำระบายสะสมอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล |
เขื่อนสิริกิติ์ | ||
ปริมาณน้ำไหลเช้าสะสมอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ |
ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ |
ปริมาณน้ำระบายสะสมอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ |
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ | ||
ปริมาณน้ำไหลเช้าสะสมอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ |
ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ |
ปริมาณน้ำระบายสะสมอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ |
เปรียบเทียบปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ ปี 2554 2553 2549
ปี 2554 เป็นปีที่มีปริมาณน้ำกักเก็บรวมทั้งประเทศค่อนข้างมาก ไม่ใช่แต่เพียงพื้นที่ภาคเหนือเท่านั้นที่มีปริมาณน้ำกักเก็บในอ่างฯ ค่อนข้างมาก ทั้งพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำค่อนข้างมาก รวมทั้งมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ สะสม ค่อนข้างมาก เช่นกัน
รายงานวันที่ 31 ตุลาคม 2554 พบว่า อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำกักเก็บตั้งแต่ 100% ที่ รนก. ขึ้นไป ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ กิ่วคอหมา แควน้อย แม่งัด ลำตะคอง ลำพระเพลิง น้ำอูน อุบลรัตน์ จุฬาภรณ์ มูลบน ลำแซะ ป่าสัก กระเสียว ทับเสลา หนองปลาไหล คลองสียัด ประแสร์
หน่วย : ล้านลูกบาศก์เมตร
อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ |
31-ต.ค.-54 |
31-ต.ค.-53 |
31-ต.ค.-49 |
|
|
ไหลเข้าสะสม |
11,656 |
4,931 |
7,924 |
ภูมิพล (2) |
กักเก็บ |
(99%) 13,390 |
8,461 |
13,294 |
|
ระบายสะสม |
6,163 |
4,392 |
4,591 |
|
ไหลเข้าสะสม |
10,629 |
5,852 |
6,852 |
สิริกิติ์ (2) |
กักเก็บ |
(100%) 9,495 |
7,781 |
9,464 |
|
ระบายสะสม |
8,223 |
3,248 |
5,216 |
|
ไหลเข้าสะสม |
448 |
339 |
361 |
แม่งัด |
กักเก็บ |
(103%) 274 |
279 |
253 |
|
ระบายสะสม |
422 |
160 |
373 |
|
ไหลเข้าสะสม |
1,359 |
632 |
903 |
กิ่วลม |
กักเก็บ |
(89%) 100 |
91 |
100 |
|
ระบายสะสม |
1,361 |
613 |
898 |
|
ไหลเข้าสะสม |
375 |
167 |
201 |
แม่กวง |
กักเก็บ |
(98%) 259 |
148 |
178 |
|
ระบายสะสม |
268 |
92 |
256 |
|
ไหลเข้าสะสม |
3,196 |
2,167 |
1,896 |
ลำปาว |
กักเก็บ |
(99%) 1,969 |
1,287 |
1,405 |
|
ระบายสะสม | 2,330 |
2,087 |
1,657 |
|
ไหลเข้าสะสม |
492 |
427 |
308 |
ลำตะคอง |
กักเก็บ |
(112%) 353 |
360 |
237 |
|
ระบายสะสม |
376 |
200 |
239 |
|
ไหลเข้าสะสม |
214 |
354 |
194 |
ลำพระเพลิง |
กักเก็บ |
(100%) 110 |
111 |
106 |
|
ระบายสะสม |
201 |
308 |
140 |
|
ไหลเข้าสะสม |
629 |
314 |
323 |
น้ำอูน |
กักเก็บ |
(103%) 534 |
356 |
459 |
|
ระบายสะสม |
365 |
122 |
338 |
|
ไหลเข้าสะสม |
5,264 |
4,189 |
2,381 |
อุบลรัตน์ (2) |
กักเก็บ |
(113%) 2,738 |
2,855 |
2,141 |
|
ระบายสะสม |
3,974 |
2,168 |
778 |
|
ไหลเข้าสะสม |
2,161 |
1,082 |
2,079 |
สิรินธร (2) |
กักเก็บ |
(96%) 1,887 |
1,590 |
1,839 |
|
ระบายสะสม |
1,265 |
576 |
1,420 |
|
ไหลเข้าสะสม |
253 |
266 |
160 |
จุฬาภรณ์ (2) |
กักเก็บ |
(103%) 169 |
176 |
147 |
|
ระบายสะสม |
217 |
194 |
125 |
|
ไหลเข้าสะสม |
286 |
162 |
187 |
ห้วยหลวง |
กักเก็บ |
(75%) 101 |
127 |
128 |
|
ระบายสะสม |
245 |
66 |
90 |
|
ไหลเข้าสะสม |
66 |
63 |
33 |
ลำนางรอง |
กักเก็บ |
(85%) 103 |
86 |
47 |
|
ระบายสะสม |
23 |
20 |
20 |
|
ไหลเข้าสะสม |
186 |
97 |
137 |
มูลบน |
กักเก็บ |
(110%) 155 |
119 |
140 |
|
ระบายสะสม |
144 |
55 |
63 |
|
ไหลเข้าสะสม |
215 |
140 |
141 |
น้ำพุง (2) |
กักเก็บ |
(99%) 163 |
123 |
138 |
|
ระบายสะสม |
142 |
74 |
102 |
|
ไหลเข้าสะสม |
274 |
194 |
239 |
ลำแซะ |
กักเก็บ |
(112%) 307 |
252 |
253 |
|
ระบายสะสม |
198 |
143 |
117 |
|
ไหลเข้าสะสม |
4,958 |
3,192 |
3,212 |
ป่าสักฯ |
กักเก็บ |
(130%) 1,021 |
976 |
916 |
|
ระบายสะสม |
4,279 |
2,855 |
2,995 |
|
ไหลเข้าสะสม |
840 |
450 |
1,436 |
แก่งกระจาน |
กักเก็บ |
(81%) 577 |
314 |
588 |
|
ระบายสะสม |
505 |
498 |
1,429 |
|
ไหลเข้าสะสม |
6,937 |
3,133 |
6,272 |
ศรีนครินทร์ (2) |
กักเก็บ |
(91%) 16,179 |
14,269 |
17,135 |
|
ระบายสะสม |
4,630 |
4,297 |
3,605 |
|
ไหลเข้าสะสม |
6,832 |
2,324 |
7,336 |
วชิราลงกรณ (2) |
กักเก็บ |
(86%) 7,626 |
5,035 |
8,083 |
|
ระบายสะสม |
3,549 |
3,869 |
6,688 |
|
ไหลเข้าสะสม |
288 |
120 |
977 |
ปราณบุรี |
กักเก็บ |
(59%) 204 |
112 |
374 |
|
ระบายสะสม |
167 |
291 |
914 |
|
ไหลเข้าสะสม |
455 |
660 |
345 |
กระเสียว |
กักเก็บ |
(107%) 257 |
263 |
252 |
|
ระบายสะสม |
383 |
533 |
229 |
|
ไหลเข้าสะสม |
175 |
207 |
117 |
ทับเสลา |
กักเก็บ |
(102%) 163 |
165 |
121 |
|
ระบายสะสม |
103 |
100 |
54 |
|
ไหลเข้าสะสม |
68 |
70 |
46 |
บางพระ |
กักเก็บ |
(91%) 106 |
94 |
70 |
|
ระบายสะสม |
45 |
35 |
28 |
|
ไหลเข้าสะสม |
293 |
176 |
183 |
หนองปลาไหล |
กักเก็บ |
(102%) 167 |
166 |
164 |
|
ระบายสะสม |
281 |
166 |
123 |
|
ไหลเข้าสะสม |
3,315 |
1,616 |
3,002 |
รัชชประภา (2) |
กักเก็บ |
(80%) 4,515 |
3,775 |
5,143 |
|
ระบายสะสม |
2,638 |
2,489 |
2,372 |
|
ไหลเข้าสะสม |
1,350 |
1,015 |
1,285 |
บางลาง (2) |
กักเก็บ |
(46%) 666 |
864 |
882 |
|
ระบายสะสม |
1,820 |
1,310 |
1,791 |
|
ไหลเข้าสะสม |
383 |
400 |
353 |
คลองสียัด |
กักเก็บ |
(102%) 427 |
427 |
345 |
|
ระบายสะสม |
276 |
195 |
189 |
|
ไหลเข้าสะสม |
621 |
236 |
304 |
คลองท่าด่าน |
กักเก็บ |
(96%) 216 |
218 |
217 |
|
ระบายสะสม |
612 |
194 |
294 |
|
ไหลเข้าสะสม |
394 |
286 |
196 |
ประแสร์ |
กักเก็บ |
(104%) 257 |
255 |
248 |
|
ระบายสะสม |
305 |
192 |
150 |
|
ไหลเข้าสะสม |
480 |
275 |
|
กิ่วคอหมา |
กักเก็บ |
(110%) 187 |
198 |
|
|
ระบายสะสม |
467 |
152 |
|
|
ไหลเข้าสะสม |
2,950 |
1,150 |
|
แควน้อย |
กักเก็บ |
(100%) 942 |
780 |
|
|
ระบายสะสม |
2,691 |
964 |
|
การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ปี 2554
เขื่อนภูมิพล
ช่วงเดือนเมษายน ปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ 45% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำตัวล่าง ทำให้การระบายน้ำของเดือนนี้ค่อนข้างน้อย
เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ เริ่มเพิ่มมากขึ้นจะเดือนที่แล้ว แต่ยังคงมีปริมาณการระบายค่อนข้างน้อยเนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูฝนมีความต้องการใช้น้ำน้อย อีกทั้งเดือนพฤษภาคม ปริมาณน้ำกักเก็บยังคงต่ำกว่าเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำตัวล่าง
ปลายเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม มีการระบายน้ำค่อนข้างน้อยเนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนมีความต้องการใช้น้ำน้อย และปริมาณน้ำกักเก็บมีเพียง 63%
เดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายน มีปริมาณน้ำไหลเข้าค่อนข้างมาก อัตราการระบายเพิ่มการระบายน้ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากมีข้อจำกัดน้ำท่วมพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนจากอิทธิพลของพายุนกเตน และร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณตอนบนของประเทศ
กลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากอิทธิพลของพายุไห่ถาง เนสาด และนาลแก และปริมาณน้ำเริ่มสูงกว่าเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำตัวบน ทำให้ต้องระบายน้ำสูงกว่าปกติ และจำเป็นต้องเปิดประตูระบายน้ำล้นเพื่อความมั่นคงของเขื่อน
เขื่อนสิริกิติ์
ช่วงเดือนเมษายน ปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ 50% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำตัวล่าง ทำให้การระบายน้ำของเดือนนี้ค่อนข้างน้อย
เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ เริ่มเพิ่มมากขึ้นจะเดือนที่แล้วเล็กน้อย และมีปริมาณการระบายค่อนข้างน้อยเนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูฝนมีความต้องการใช้น้ำน้อย อีกทั้งเดือนพฤษภาคม ปริมาณน้ำกักเก็บยังคงต่ำกว่าเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำตัวล่าง
ปลายเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุไหหม่า และร่องมรสุมที่พัดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทำให้ปริมาณน้ำกักเก็บสูงกว่าเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำตัวล่าง จึงมีการเพิ่มอัตราการระบาย
เดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายน ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุนกเตน และร่องมรสุมที่พัดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทำให้ต้องเพิ่มอัตราการระบายสูงกว่าปกติ และจำเป็นต้องเปิดประตูระบายน้ำเพื่อความมั่นคงของเขื่อน
กลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ยังคงมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ ค่อนข้างมากเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุไห่ถาง เนสาด และนาลแก ทำให้ต้องการระบายน้ำค่อนข้างมากในช่วงแรก และลดการระบายลงในช่วงเดือนตุลาคม
ที่มา : การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ปริมาณน้ำท่า
แผนผังแสดงตำแหน่งเขื่อน สถานีวัดน้ำท่า ประตูระบายน้ำ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต
สถานี C.2 ค่ายจิรประวัติ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 4,686 ลูกบากศ์เมตรต่อวินาที (วันที่ 13 ตุลาคม 2554) ซึ่งน้อยกว่าปี 2538 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุด 4,820 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (วันที่ 1 ตุลาคม 2538) แต่หากคำนวณเป็นปริมาณน้ำ พบว่าปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน อยู่ที่ 39,833 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าปี 2538 อยู่ 10,728 ล้านลูกบาศก์เมตร
สถานี C.13 ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ปี 2554 มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 3,721 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (วันที่ 21 กันยายน 2554) ซึ่งน้อยกว่าปี 2538 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุด 4,501 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (วันที่ 5 ตุลาคม 2554) แต่หากคำนวณเป็นปริมาณน้ำ พบว่าปี 2554 มีปริมาณน้ำไหลผ่านตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน อยู่ที่ 31,762 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าปี 2538 อยู่ 8,053 ล้านลูกบาศก์เมตร
สถานี Ct.2A หน้าศาลากลาง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 713 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที( วันที่ 15 ตุลาคม 2554) ซึ่งมีค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2550 ปี 2551 ปี2552 และ ปี 2553
สถานี C.3 บ้านบางพุดทรา อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 2,965 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที( วันที่ 14 กันยายน 2554) ซึ่งน้อยกว่าปี 2553 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 3,033 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (30 ตุลาคม 2553) แต่มากว่าปี 2551 และปี 2552 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยุ่ที่ 2,250 และ 2,031 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตามลำดับ
สถานี C.7A บ้านบางแก้ว อ.เมือง จ.อ่างทอง ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 2,665 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที( วันที่ 4 กันยายน 2554) ซึ่งน้อยกว่าปี 2550 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 3,517 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (23ตุลาคม 2550) แต่มากว่าปี 2551 ปี 2552 และปี 2553 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยุ่ที่ 2,059 1,759 และ 2,429 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
สถานี C.35 บ้านป้อม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 1,494 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที( วันที่ 10 ตุลาคม 2554) ซึ่งมีค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2552 และปี 2553 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุด 1,230 และ 1,236 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตามลำดับ
สถานี C.29 บ้านสามง่าม อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ปี 2554 ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดอยู่ที่ 3,930 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที( วันที่ 6 ตุลาคม 2554) ซึ่งมีค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2552 และปี 2553 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุด 1,968 และ 3,526 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตามลำดับ
ช่วงปลายเดือนตุลาคม ช่วงกลางเดือนและช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เกิดระดับน้ำทะเลหนุนบริเวณอ่าวไทย ส่งผลให้การระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น
จากการตรวจวัดระดับน้ำของกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือที่สถานีกองบัญชาการกองทัพเรือ พบว่าช่วงปลายเดือนตุลาคม ระดับน้ำสูงสุด อยู่ที่ 2.53 เมตร ในวันที่ 30 ตุลาคม
ช่วงกลางเดือนระดับน้ำสูงสุดอยู่ที่ 2.41 เมตร ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ส่วนช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน (22-24 พฤศจิกายน) ระดับน้ำหนุนต่ำกว่าช่วงปลายเดือนตุลาคมและช่วงกลางเดือน
พฤศจิกายน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการตรวจวัดระดับน้ำของสำนักระบายน้ำกรุงเทพมหานครที่สถานีสูบน้ำคลองบางอ้อ และสถานีสูบน้ำคลองบางนา
ที่มา : กรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือ
ที่มา : สำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร
ที่มา : สำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร
แผนภาพแสดงความสูงของคลื่นในอ่าวไทย
จากแผนภาพแสดงความสูงของคลื่นบริเวณอ่าวไทยในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2554 พบว่าเกิดการยกตัวของคลื่น29 ต.ค. 54 |
30 ต.ค. 54 |
31 ต.ค. 54 |
12 พ.ย. 54 |
13 พ.ย.54 |
14 พ.ย. 54 |
19 พ.ย. 54 |
20 พ.ย. 54 |
21 พ.ย. 54 |
22 พ.ย. 54 |
23 พ.ย. 54 |
24 พ.ย. 54 |
25 พ.ย. 54 |
26 พ.ย. 54 |
29 ต.ค. 54 7.00 น. |
29 ต.ค. 54 19.00 น. |
30 ต.ค. 54 7.00 น. |
30 ต.ค. 54 19.00 น. |
31 ต.ค. 54 7.00 น. |
31 ต.ค. 54 19.00 น. |
12 พ.ย. 54 7.00 น. |
12 พ.ย. 54 19.00 น. |
13 พ.ย. 54 7.00 น. |
13 พ.ย. 54 19.00 น. |
14 พ.ย. 54 7.00 น. |
14 พ.ย. 54 19.00 น. |
19 พ.ย. 54 7.00 น. |
19 พ.ย. 54 19.00 น. |
20 พ.ย. 54 7.00 น. |
20 พ.ย. 54 19.00 น. |
21 พ.ย. 54 7.00 น. |
21 พ.ย. 54 19.00 น. |
22 พ.ย. 54 7.00 น. |
22 พ.ย. 54 19.00 น. |
23 พ.ย. 54 7.00 น. |
23 พ.ย. 54 19.00 น. |
24 พ.ย. 54 7.00 น. |
24 พ.ย. 54 19.00 น. |
25 พ.ย. 54 7.00 น. |
25 พ.ย. 54 19.00 น. |
26 พ.ย. 54 7.00 น. |
26 พ.ย. 54 19.00 น. |
แผนที่น้ำท่วม
เปรียบเทียบแผนที่น้ำท่วมปี 2549 2551 2553 และ 2554
สิงหาคม 2549 |
สิงหาคม 2553 |
สิงหาคม 2554 |
กันยายน 2549 |
กันยายน 2553 |
กันยายน 2554 |
ตุลาคม 2549 |
ตุลาคม 2553 |
ตุลาคม 2554 |
การสำรวจพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทย
ตั้งแต่ปี 2504 ถึงปี 2549 พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2504 มีป่าไม้ 53.33% ของประเทศ
แต่เมื่อถึงปี 2549 มีป่าไม้เหลือเพียง 30.92%
ปี พ.ศ. |
พื้นที่ป่าไม้(ไร่) |
คิดเป็น % เทียบพื้นที่ |
พื้นที่ป่าไม้ลดลง(ไร่) |
คิดเป็น % |
2504 |
171,018,125 |
53.33 |
- |
- |
2516 |
138,566,875 |
43.21 |
2,704,270.83 |
0.84 |
2519 |
124,010,625 |
38.67 |
4,852,083.33 |
1.51 |
2521 |
109,515,000 |
34.15 |
7,247,812.50 |
2.26 |
2525 |
97,875,000 |
30.52 |
2,910,000.00 |
0.91 |
2528 |
94,291,250 |
29.40 |
1,194,583.33 |
0.37 |
2531 |
89,876,875 |
28.03 |
1,474,458.33 |
0.46 |
2532 |
89,635,625 |
27.95 |
241,250.00 |
0.08 |
2534 |
85,436,250 |
26.64 |
2,099,670.50 |
0.65 |
2536 |
83,471,250 |
26.03 |
992,830.50 |
0.31 |
2536 |
82,178,125 |
25.62 |
636,231.00 |
0.20 |
2541 |
81,076,250 |
25.28 |
367,244.33 |
0.11 |
2543 |
106,319,239 |
33.15 |
- 9,926.37 |
- 3.94 |
2547 |
104,744,360 |
32.66 |
393,714.25 |
0.12 |
2548 |
100,625,812 |
31.38 |
4,118,519.00 |
1.28 |
2549 |
99,157,868 |
30.92 |
1,467,944.00 |
0.46 |
ที่มา: ข้อมูลของกรมป่าไม้ จากเอกสาร การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้โดยใช้ข้อมูล Remote sensing จัดทำโดย สทอภ., ตุลาคม 2554
แผนที่แสดงพื้นที่ป่าไม้บริเวณตอนเหนือของประเทศไทย (สีเขียว คือ พื้นที่ป่าไม้ ปี 2552 , สีแดง คือ พื้นที่ป่าไม้ที่หายไปนับแต่ปี 2545)
พื้นที่หน่วงน้ำบริเวณภาคเหนือตอนล่าง
บึงบระเพ็ด
บึงบระเพ็ดมีปัญหาจากการทับถมของตะกอน ปีละ 2 ล้านลบ.ม. (เท่ากับถมดินสูง 5 ม. ในสนามฟุตบอล 97 สนาม) ประกอบมีพื้นที่ถมเพื่อ
งานก่อสร้างของภาครัฐ ทำให้ความสามารถในการกักเก็บน้ำลดต่ำลงอย่างมาก
ที่มา: ข้อเสนอวาระแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โครงการฟื้นฟูแก้มลิงบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ, 2550
พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
1. คลองระพีพัฒน์ มีการสูบน้ำจากคลองสาขา และพื้นที่เรือกสวนไร่นา ระบายลงคลองระพีพัฒน์
2. คลองลำปะทิวและคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต บริเวณใต้สะพานรถไฟสายตะวันออก ช่องเปิดให้น้ำไหลผ่านแคบกว่าความกว้างลำน้ำมาก และช่องด้านข้างทั้งสองฝั่ง มีตะกอนดินและสวะสะสม ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการะบายน้ำผ่านบริเวณนี้
3.สถานีสูบน้ำริมชายทะเล ทุกสถานีทำงานอย่างไม่เต็มศักยภาพ เนื่องจากปริมาณไหลลงมาไม่เพียงพอต่อความสามารถในการสูบ และบ่อสูบมีขนาดเล็กเกินไป
4. คลองบางซื่อ มีสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน้ำ (บ่อบำบัดน้ำเสีย) และมีบ้านเรือนรุกล้ำลำน้ำอีกจำนวนมาก
5. คลองบางตลาด คลองมีขนาดเล็กและตื้นเขิน ไม่สมดุลกับสถานีสูบน้ำ ที่สูบออกทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ถึง 4 เครื่อง
6. คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต บริเวณลำน้ำฃ่วงลอดใต้ถนนบางนาตราด ใต้สะพานมีตะกอนดินและสวะ สะสมจำนวนมาก บริเวณลำคลองฃ่วงตั้งแต่ถนนบางนาตราดจนถึงถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง มีบ้านเรีอนรุกล้ำลำน้ำจำนวนมาก
7. คลองบ้านใหม่ ช่วงที่เกิดอุทกภัย ชาวบ้านน้ำแผ่นเหล็กมาปิดกั้นการระบายน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำเข้าท่วมพื้นที่ ส่วนสภาพคลองตื้นเขินและมีสวะจำนวนมาก
8. คลองสอง-บางบัว-ลาดพร้าว มีบ้านเรือนรุกล้ำลำน้ำจำนวนมาก เกือบตลอดทั้งแนวคลอง ช่องสะพานเหลือเพียงช่องกลางเท่านั้นที่สามารถระบายน้ำได้ เพราะการรุกล้ำลำน้ำ นอกจากนี้ยังมีตะกอนดินที่ปิดทับถมจนไม่สามารถระบายน้ำได้ อีกทั้งกลางคลองยังมีประตูน้ำที่มีช่องระบายเพียง 4-5 เมตร และประตูน้ำก็ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว
พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
1. คลองพระยาบรรลือ น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณประตูระบายน้ำพระศรีสิงห์ มีระดับสูงกว่าประตูทำให้น้ำไหลข้ามประตูจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่คลองพระยาบันลือ นอกจากนี้ตลอดแนวคลองมีการเสริมคันดินสูงมากกว่า 1 เมตร
2. คลองภาษีเจริญ ความลึกของคลองโดยเฉลี่ย 2-2.50 เมตร บริเวณคลองภาษีเจริญตัดกับคลองทวีวัฒนาตื้นเขิน ลึกน้อยกว่า 2 เมตร ช่วงต้นคลองฝั่งกรุงเทพมหานคร มีสิ่งกีดขวางโดยเฉพาะโป๊ะเทียบเรือ
3. คลองลัดงิ้วราย คลองลัดท่าข้าม คลองลัดทั้งสองไม่ได้รับการดูแล มีสวะมากและคลองมีลักษณะแคบช่วงลอดผ่านถนน
4. คลองมหาสวัสดิ์ บริเวณประตูระบายน้ำฉิมพลีไม่ได้รับการดูแล มีสวะมาก และคลองประปาไม่ได้รับการป้องกัน
5. คลองสี่วาพาสวัสดิ์ มีสิ่งกีดขวางตลอดแนวคลอง เช่น สะพานข้ามสำหรับคนเดิน
6. คลองสี่วาตากล่อม-คลองบางน้ำจืด ช่วงต้นคลองสี่วาตากล่อมซึ่งรับจากคลองภาษีเจริญ มีการบุกรุกคลองกีดขวางทางน้ำ บริเวณคลองลอดใต้ถนนเอกชัยและพระราม 2 ถูกบีบให้แคบ นอกจากนี้ยังมีทางรถไฟขวางทางน้ำอยู่
7. คลองแสมดำ คลองหลวง สภาพคลองไม่ได้รับการดูแล โดยเฉพาะคลองหลวง น้ำเน่า มีกลิ่นเหม็น
"ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" เผยนิคมอุตสาหกรรมนวนครหนัก เบื้องต้นทหารในพื้นที่รายงานปริมาณเข้าท่วมกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ลั่นสามารถกู้คืนได้ หากปริมาณน้ำไม่เพิ่มขึ้น เน้นระดมทหารเร่งสูบน้ำออกจากโรงงาน...
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า สถานการณ์น้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานีนั้น มีการระดมเจ้าหน้าที่ทหารทำพนังกั้นน้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยอมรับว่า มีน้ำซึมผ่านเข้ามาในนิคมบ้าง โดยระดับน้ำในช่วงกลางดึกที่ผ่านมานั้น น้ำข้างนอกมีความสูงกว่าน้ำข้างในนวนครประมาณ 1 เมตร เพราะฉะนั้นกระสอบทรายที่วางอยู่ ก็สามารถซึมได้ตลอดเวลา รวมทั้งน้ำได้เข้ามาข้างใน ทั้ง ลามไปในท่อ และเข้าไปโผล่ที่บริเวณด้านหน้าของนิคม ดังนั้นระดับน้ำจึงเพิ่มขึ้นตลอด ประกอบกับ เมื่อวานนี้ (17 ต.ค.) การที่ผมได้ลงไปตรวจเยี่ยม ก็พบว่า ช่วงที่เดินทางไปถึง ระดับน้ำได้ท่วมไปประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่นิคมฯ ตอนจะกลับ จึงมองดูอีกครั้ง ก็คาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 40 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ได้แต่หวังว่า ช่วงเช้าของวันนี้ระดับน้ำน่าจะเข้าท่วมประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร อย่างไรก็ตาม ได้รับรายงานจากผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ พบว่า ตอนนี้ระดับน้ำได้เข้าท่วมทั้งหมด 80 - 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว
นอก จากนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังกล่าวต่อว่า อยากให้ทางจังหวัดได้ทำการเปิดประตูระบายน้ำเพิ่มเติม เนื่องจากการประเมินของเจ้าหน้าที่ได้คาดการณ์ว่า ยังสามารถกู้นิคมอุตสาหกรรมนวนครได้ เพราะแต่ละโรงงานมีการนำกระสอบทรายมากั้นบริเวณโดยรอบของโรงงาน ป้องกันนำเข้าโรงงานเพิ่มเติม ดังนั้นต่อจากนี้ไป ทางทหารกำลังเร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่ภายในโรงงาน และปริมาณน้ำก็จะมากองกันอยู่ตรงบริเวณถนน ถ้าน้ำไม่มากกว่านี้ ก็จะช่วยผลักดันน้ำออกจากตัวโรงงานได้แกะรอย 5 พายุมัจจุราช!..'ธรรมชาติเอาคืน' [ ไทยรัฐ : 17 ต.ค. 54 ]
เดือดร้อนกันไปทั่วสำหรับปัญหาน้ำท่วมที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะ ลดลง หลายจังหวัดในประเทศไทยตอนนี้ยังคงต้องรับศึกหนักกับน้ำก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้พายุและฝนกระหน่ำประเทศไทยแบบเต็มๆ ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาประเทศไทยเจอกับพายุไปแล้วถึง 4 ลูก ซึ่งได้สร้างความเสียหายอย่างมาก คงไม่มีใครคิดมาก่อนว่าสายลมเพชฌฆาตเหล่านี้ จะมีผลทำให้หลายๆ จังหวัดทางภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยจมหายกลายเป็นเมืองบาดาล 'ไทยรัฐออนไลน์' วันนี้ ขอพามารู้จักพายุที่ทำให้ประเทศไทยเจอกับภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ในปีนี้
หลัง จากที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และร่องความกดอากาศต่ำที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ยั้งแล้ว ในช่วงเดือนกันยายน ประเทศไทยยังต้องรับมือจากอิทธิพลพายุหมุนเขตร้อนอีก 2 ลูกใหญ่ ส่งผลให้หลายจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคกลางตอนบนและตอนล่าง รวมไปถึงภาคอีสานตอนบนเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ ขยายเป็นวงกว้าง
พายุโซนร้อนไห่ถาง
พายุ โซนร้อนไห่ถาง (Haitang) แปลว่า ดอกแคร็ปแอปเปิ้ลบานจากประเทศจีนลูกนี้ เป็นพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองเว้ ประเทศเวียดนาม ในวันที่ 27 กันยายน 2554 และอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน ก่อนเคลื่อนตัวมาที่ลาว จากนั้นอ่อนกำลังลงอีกครั้งเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงเคลื่อนเข้าปก คลุมที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของไทยในวันที่ 28 กันยายน 2554
พายุโซนร้อนเนสาด
พายุ โซนร้อนเนสาด (Nesat) เป็นชื่อที่ตั้งโดยประเทศกัมพูชา แปลว่า การจับปลา หรือคนจับปลา ซึ่งเดิมทีเป็นพายุไต้ฝุ่นที่เคลื่อนตัวผ่านอ่าวตังเกี๋ยขึ้นฝั่งที่เมืองฮา ลอง ประเทศเวียดนาม ในช่วงที่มีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อนในวันที่ 30 กันยายน 2554
ผลกระทบจากพายุโซนร้อนไห่ถางและเนสาด
จาก การถาโถมอย่างแรงของพายุทั้ง 2 ลูกนี้ ในส่วนของประเทศไทยตอนบนนั้น ทำให้ฝนตกชุกหนักถึงหนักมากอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเกิดน้ำท่วมขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ซึ่งในบางแห่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้มาก่อน และด้วยปริมาณน้ำที่มากเกินปกติ ยังได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่าง มาก โดยเบื้องต้นนั้นได้มีการประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ แล้วว่ามีมูลค่าถึง 2 หมื่นกว่าล้านบาท ล่าสุดได้วัดค่าปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนกันยายนแล้ว ว่า มีค่าสูงกว่าปกติประมาณ 32% ซึ่งสูงกว่าทุกปีที่ตรวจวัดมา
พายุโซนร้อนนาลแก
พายุ โซนร้อนนาลแก (Nalgae) จากเกาหลีเหนือ แปลว่า ปีก เป็นพายุลูกล่าสุดที่พัดเข้ามาสู่ในประเทศไทย เดิมทีเป็นพายุไต้ฝุ่น แต่อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน เคลื่อนตัวผ่านเกาะไหหลำ เข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และอ่อนกำลังลงอีกครั้งเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ ที่เมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554
ผลกระทบจากพายุโซนร้อนนาลแก
เหมือน เป็นเคราะห์ซ้ำ หลังจากที่เจอพายุ 2 ลูกใหญ่ในเวลาไล่เลี่ยกันในเดือนกันยายน เพราะในเดือนตุลาคม ที่ประเทศไทยต้องเจอกับพายุนาลแก ซึ่งส่งผลให้มีฝนตกหนาแน่น จนหลายพื้นที่เกิดอุทกภัยอย่างหนัก ทั้งภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ซึ่งในระยะนี้ยังมีแนวโน้มว่า อุกทกภัยครั้งนี้จะยาวนาน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิต ตลอดจนพื้นที่การเกษตร และพื้นที่เศรษฐกิจจำนวนมาก ซึ่งสถานการณ์ล่าสุดพื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมก็ถูกน้ำท่วมไปด้วย และเส้นทางคมนาคมทั้งสายเอเชีย และพหลโยธินที่มุ่งสู่ภาคเหนือ ก็ถูกปิดเส้นทางเดินรถชั่วคราว ซ้ำหนักในแถบ จ.ปทุมธานี นครนายก สมุทรปราการ รวมไปถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังต้องรับช่วงต่อกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กรุงเทพมหานคร ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของไทย ได้รับความเสียหายมากขึ้น
อย่าง ไรก็ดี การอยู่กับภัยธรรมชาติ ซึ่งถือว่าปีนี้รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่สามารถทำได้ก็คอการเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือ เนื่องจากในเดือนตุลาคม-ธันวาคม ทางกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่ายังคงมีปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าค่าปกติอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูน้ำหลาก ปี 2554 ปีแห่งการต่อสู้เพื่ออยู่รอด คงเป็นที่จดจำของทุกคน ทั้งผู้ที่ประสบภัย และผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือ หากมองในแง่บวกอยู่บ้าง ก็นับว่าเป็นอีก 1 เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นคนไทย ที่ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือไม่ทิ้งกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------
บัวทองเคหะท่วมแล้ว! น้ำสูงกว่า1ม. 8พันหลังจมบาดาล [ ไทยรัฐ : 14 ต.ค. 54 ]
ท่วมแล้ว! หมู่บ้านบัวทองเคหะน้ำขึ้น 1 เมตร
พบเอ่อล้นจากคลองพิมลราชา บ้านเรือนกว่า 8 พันหลัง
จมบาดาลได้รับความเดือดร้อน วอนให้ความช่วยเหลือด่วน...
เมื่อเวลา
10.00 น. วันที่ 14 ต.ค.54 ศูนย์วิทยุบางบัวทอง ได้แจ้งว่า หมู่บ้านบัวทอง
เคหะ ม.1 ต.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ได้เกิดเหตุน้ำท่วม
โดยหมู่บ้านดังกล่าวเป็นหมู่บ้านใหญ่หลายโครงการ บ้านเรือนไทย บ้านกาณต์มณี
หมู่บ้านมนลดา โดยมีชาวบ้าน ม.14 หมู่ 3 กว่า 8,000 หลังคาเรือน
โดยมีน้ำท่วมด้านหน้าโครงการต่างๆ สูงกว่า 50 ซม. ส่วนด้านใน
น้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร
สอบถามนายวรชัย วาณิช อดีต ส.อบต.ในพื้นที่
กล่าวว่า น้ำได้เอ่อล้นจากคลองพระพิมลราชา ทางด้าน ซอยโรงหมี่
ถนนบางกรวย-ไทรน้อย เข้าท่วมหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างขนของหนีน้ำ
บางรายอพยพไปอยู่ที่อื่น อ.บางบัวทอง ส่งเรือมาให้ชาวบ้านใช้ 4 ลำ
ทหารนำรถหกล้อ 1 คัน เรือ 2 ลำ ช่วยชาวบ้านขนของออกมา แต่ก็ยังไม่พอ
ในขณะที่ความช่วยเหลือด้านในยังไปไม่ถึง
-----------------------------------------------------------------------------------------------
โรงงานกว่า900โรงจมบาดาล เสียหายไม่ต่ำกว่า2.6หมื่นล้าน [ ไทยรัฐ : 12 ต.ค. 54 ]
รมว.อุตฯเผย น้ำท่วมโรงงานอุตสาหกรรม 28 จังหวัด
ทำโรงงานดำบาดาล 930 โรงงาน เฉพาะ 3 จังหวัดอยุธยา-ลพบุรี-นครสวรรค์
เสียหายหนักสุด ประเมินแล้วกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 12
ต.ค. นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่โรงงานอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบทั้งประเทศว่า
จากสถานการณ์น้ำท่วมใน 59 จังหวัด มี 28 จังหวัด
ที่โรงงานอุตสาหกรรมถูกน้ำท่วม ตั้งแต่โอทอป เอสเอ็มอี จนถึงโรงงานขนาดใหญ่
ได้รับผลกระทบรวม 930 โรงงาน โดยโรงงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ลพบุรี และนครสวรรค์ ได้รับความเสียหายสูงสุด
เพราะเกิดความเสียหายทางตรงและทางอ้อมโดยรวมไม่น้อยกว่า 1,000
ล้านบาท ประกอบกับค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ 25,000 ล้านบาท
รวมเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว 26,000 ล้านบาท
รวมตัวเลขของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร
ยังไม่รวมผลเสียหายของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ
ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินตรวจสอบ
รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า
นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า หรือ ไฮเทค ขณะนี้ยังปลอดภัย
โดยเช้าวันนี้แนวกั้นน้ำรั่วตามรูขนาดเล็ก จึงระดมทหาร 150 นาย
และแรงงาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อช่วยหยุดการไหลซึมในทิศเหนือ
ซึ่งขณะนี้ระดับน้ำยังคงสูงขึ้นขณะนี้ต่ำกว่าคันดินเพียง 50
เซนติเมตร การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการหยุดเดินเครื่อง
พร้อมอพยพแรงงานเรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวังและเสริมกำลังแข็งแกร่งของแนวดินกั้นน้ำ
พร้อมกันนี้มีการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ สินค้า
ออกไปยังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม
แนวคันดินของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค โดยเฉลี่ยสูง 5.50 เมตร
กำลังเพิ่มทิศเหนือเป็น 6 เมตร
เนื่องจากมีปัญหาการรั่วซึมของน้ำในนิคมฯ ส่วนอีก 3 ด้าน
คันดินยังคงมีสภาพที่จะรับน้ำได้อีก 60 เซนติเมตร
ส่วน
นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เป็นนิคมในเครือของ ช.การช่าง
ได้มีการเตรียมเครื่องมือขนาดหนักเสริมคันดิน
จึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะปลอดภัย ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ยังดี
เขื่อนดินยังมีความห่างจากน้ำ 1.30 เมตร
กนอ.ขอให้ผู้ประกอบการหยุดดำเนินการเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์
แต่ได้รับความร่วมมือบางส่วน
เนื่องจากบางโรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่ายังสามารถดำเนินการต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังคงเฝ้าระวังแนวดินกั้นน้ำตลอด มี
111 โรงงานในนิคมฯ
นิคมอุตสาหกรรมแฟคตอรี่ มี
99 โรงงาน ยังปลอดภัย แนวคันดินยังสูงกว่าระดับ 70 เซนติเมตร
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมชลประทานระบุว่า เขื่อนป่าสักลดการปล่อยน้ำลงจาก
750 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เหลือ 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทำให้ลดกระแสน้ำลงสู่พื้นที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำยังเท่าเดิม
จึงยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดในทุกพื้นที่เสี่ยงอันตรายจากอุทกภัยทุก
พื้นที่
สำหรับ
พื้นที่ปทุมธานี เขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนคร
นิคมอุตสาหกรรมบางกระดี
เขื่อนดินกั้นน้ำยังอยู่ในสภาพที่จะป้องกันอย่างดี
ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งวอร์รูม
หรือศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัย
กระทรวงอุตสาหกรรมขึ้นมาดูแล นำโดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
และผู้บริหารระดับสูงทั้งหมด ตั้งแต่รองปลัดกระทรวง
ทำหน้าที่สับเปลี่ยนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
พร้อมส่งหน่วยเฉพาะกิจไปเฝ้าระวังทุกนิคมอุตสาหกรรม
นิคมอุตสาหกรรม
ลาดกระบัง แนวคันดินสูง 1.60 เมตร สูงจากน้ำ
56 เซนติเมตร ส่วนนิคมอุตสาหกรรมบางชัน
คันดินยังสูงกว่าระดับน้ำ 50 เซนติเมตร โดยคันดินสูง
2.20 เมตร แนวป้องกันยังแข็งแรงปลอดภัย และทั้ง
2 นิคมฯ ยังผลิต ไม่มีการอพยพคนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม
กนอ.ได้ขอความร่วมมือให้ผู้บริหารทั้ง 2 นิคมฯ
ต่อสู้กับภัยน้ำ พร้อมมีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจขึ้นมาดูแล
ส่วนนิคม
อุตสาหกรรมบางพลี และนิคมอุตสาหกรรมบางปู
กระทรวงอุตสาหกรรมไม่เป็นห่วง อย่างไรก็ตาม
มีการวางแผนป้องกันอย่างเต็มที่ เนื่องจากบางปู
เป็นอุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออก
ประกอบกับน้ำเหนือยังมีระยะทางอีกไกล และมีข้อดีที่ กทม. เร่งระบายน้ำ
ประกอบกับมีถนนมอเตอร์เวย์ขวางกั้นทางน้ำไหล
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการแถลงข่าวสถานการณ์น้ำท่วมทุกวัน เวลา 10.00 น. และ 17.00 น.
----------------------------------------------------------------------------------------------
'นครสวรรค์'ยังวิกฤติ เขตเศรษฐกิจจมบาดาล [ ไทยรัฐ : 11 ต.ค. 54 ]
พ่อเมืองปากน้ำโพ เผยยังอุดช่องโหว่คันกั้นน้ำไม่ได้
ทำให้เขตเศรษฐกิจจมบาดาลทั้งหมดแล้ว โดยระดับน้ำสูงใกล้เคียงกับน้ำในแม่น้ำ
เหลือฝั่งศาลากลางที่ยังท่วมไม่ถึง ส่วนสะพานเดชาฯ ยังแกร่งใช้การได้
ขณะเดียวกันมีชาวบ้านร่วม 2,000 ราย ลงทะเบียนเข้าศูนย์อพยพแล้ว...
เมื่อ เวลาประมาณ 12.30 น. วันที่ 11 ต.ค. นายชัยโรจน์ มีแดง ผวจ.นครสวรรค์ ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เขตเทศบาลนคร นครสวรรค์ ว่า หลังคันกั้นแม่น้ำปิงบริเวณหลังโรงน้ำแข็งเก่าตลาดบ่อนไก่พังถล่มเป็นแนว ประมาณ 100 เมตร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา จังหวัด ร่วมกับเทศบาล ทหารจากกองทัพภาคที่ 3 และผู้เกี่ยวข้องได้เข้าสกัดกั้นน้ำและดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงในขณะนี้ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพียงสามารถล้อมน้ำเอาไว้ เนื่องจากกระแสน้ำรุนแรงและเพิ่มระดับอย่างรวดเร็วจนเข้าปฏิบัติงานยากลำบาก ทำให้น้ำท่วมฝั่งตลาดหรือ เขตเศรษฐกิจทั้งหมดแล้ว โดยระดับน้ำใกล้เคียงกับแม่น้ำ ส่วนฝั่งศาลากลางจังหวัดน้ำยังไม่ท่วม แต่มีการวางแนวป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนไว้แล้ว
ทั้ง
นี้ ตั้งแต่คันกั้นน้ำพังมีการประกาศให้ประชาชนอพยพไปยังศูนย์อพยพทั้ง 5
แห่งตามที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้ มีประชาชนลงทะเบียนเข้าศูนย์ แล้วประมาณ 2
พันคน จากความสามารถรองรับได้ประมาณ 1 หมื่นคน ยังไม่มีปัญหา
เบื้องต้นได้เน้นแจกจ่ายอาหารให้ทั่วถึงและเพียงพอ
ควบคู่ไปกับการเข้าตรวจสอบและช่วยเหลือประชาชนอพยพออกจากพื้นที่
ผู้
ว่าราชการ จ.นครสวรรค์
กล่าวถึงความกังวลสะพานเดชาติวงศ์จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมจนทำให้ตัด
ขาดการสัญจรไปยังภาคเหนือว่า เบื้องต้นยังไม่พบความเสียหาย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า สามารถรองรับแรงกดทับและรับน้ำหนักได้ประมาณ
5-6 เท่า อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้
ยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้
----------------------------------------------------------------------------------------------
วารีพิโรธที่โรจนะ 'เก๋งฮอนด้า'จมมิดกว่า 200 คัน [ ไทยรัฐ : 9 ต.ค. 54 ]
อยุธยาวิกฤติหนัก! น้ำทะลักท่วมนิคมฯโรจนะ 20 โรงงาน จมน้ำสูง 2-3 เมตร ขณะที่ฮอนด้าย้ายรถออกมาไม่ทัน ปล่อยจมน้ำ 200 คัน ส่วนที่ อ.ผักไห่ พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย เนื่องจากไฟดูด ด้าน มจร.วังน้อย พร้อมช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมในอยุธยา เปิดพื้นที่ให้หลบภัยชั่วคราว ...
วันที่ 9 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า เริ่มวิกฤติหนัก โดยน้ำจากตัวเมืองอยุธยาท่วมถนนสายโรจนะขยายวงกว้างไปถึงปากประตูทางเข้า 1 และ 2 ของสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ต.คานหาม อ.อุทัย ตั้งแต่เวลา 20.00 น. วานนี้(8ต.ค.) ระดับน้ำสูง 30-50 ซม. จากนั้นน้ำจากคลองข้าวเม่าได้ข้ามทุ่งโจมตีคันดินด้านโรงงานผลิตรถยนต์ ฮอนด้าที่สูง 5 เมตร กว้าง 3-5 เมตรพังทลาย กระแสน้ำพุ่งเข้าอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ได้ระดมพลทหารกว่า 200 นาย คนงานในนิคมฯ และชาวบ้านช่วยกรอกทรายใส่กระสอบ นำไปกั้นกระแสน้ำตลอดทั้งคืน จนกระแสน้ำเบาบางลง แต่โรงงานจำนวน 20 โรง ต้องจมน้ำระดับความสูง 2-3 เมตร ส่วนที่เหลือเจ้าหน้าที่ได้วางแนวกระสอบทรายสูงกว่า 3 เมตร ป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าไปชั้นใน
นาย ประยูร ติ่งทอง อุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ทางนิคมได้ป้องกันเต็มที่เสริมคันดินแล้ว แต่กระแสน้ำได้เข้าทางทุ่งนา ซึ่งดินด้านนี้จะอ่อนตัวกว่าด้านอื่น น้ำจึงทะลักเข้ามาได้ เจ้าหน้าที่ได้เร่งอุดตลอดทั้งคืนจนน้ำหยุดแล้ว แต่กระแสน้ำได้เข้าท่วมโรงงานบางส่วนน้ำสูง 2-3 เมตร และป้องกันไม่ให้น้ำเข้าท่วมชั้นใน ซึ่งสวนอุตสาหกรรมโรจนะ มีโรงงาน 223 โรง มีการลงทุนไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท น้ำท่วมไปแล้วประมาณ 20 โรงงาน ส่วนที่เหลือเราจะป้องกันเต็มที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาช่วงบ่ายน้ำได้ทะลักเข้าท่วมสวนอุตสาหกรรมโรจนะทั้งประตู 1 และ 2 น้ำขังสูง 2-3 เมตร ขยายวงกว้างท่วมแล้ว 90% ประมาณ 200 โรงงาน สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าได้เร่งขนย้ายรถจำนวน 3,000 คัน ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค. แต่ยังคงเหลือรถที่ยังจอดอยู่ภายในโรงงานประมาณ 200 คันจมน้ำ ค่าเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
นายทวี นริสศิริกุล รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์อพยพ ที่บริเวณอาคารพาณิชย์ ริมถนนสายเอเชีย ตรงข้ามศูนย์ราชการ ซึ่งเมื่อคืนมีฝนตกหนัก ทำให้ผู้อพยพที่อยู่ในเต็นท์ประมาณ 4,700 คน ส่วนใหญ่เป็นคนแก่และเด็กต้องเปียกปอน จึงได้ให้เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล เข้าทำการรักษาผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคไข้หวัดและน้ำกัดเท้า
ที่ อ.ผักไห่ น้ำยังคงท่วมขังสูง 2-3 เมตร พบผู้เสียชีวิตจากไฟดูด 1 ราย ทราบชื่อ นายสมพร วัฒนะจิตตพงษ์ อายุ 81 ปี ขณะกำลังออกจากบ้านไปทำธุระ เดินลุยน้ำที่ขังราว 15 ซม. แล้วยืนจับเสาไฟฟ้า ทำให้ถูกไฟดูดเสียชีวิตคาที่
ขณะที่ พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวว่า ตามที่พื้นที่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ประสบภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จึงจะเปิดอาคารเรียนรวมให้เป็นสถานที่อพยพสำหรับประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม และไม่มีที่อยู่อาศัย โดยเบื้องต้นได้มีคนงานจากนิคมอุตสาหกรรมโรจนะติดต่อมาเพื่อขอใช้พื้นที่ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ในการพักอาศัยเพื่อหลบภัยน้ำท่วมแล้วประมาณ 400 คน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ มีพื้นที่รองรับเพียงพอ และสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยได้ ขณะเดียวกันทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วังน้อย ยังเปิดรับบริจาคสิ่งของช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วย
นายสุนทร พงษ์เผ่า ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รายงานเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ว่า นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนคร ต.บางพระครู อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ได้กลายเป็นเมืองที่จมบาดาลไปทันที ภาย หลังที่เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เกิดคันกั้นน้ำแตกระดับน้ำไหลหลากกว่า 3-4 เมตรทะลักเข้าจมโรงงานขนาดใหญ่กว่า 46 แห่ง โดยแต่ละแห่งเป็นโรงงานขนาดพันล้านถึงหลายหมื่นล้าน และเกือบทุกโรงงานมีอาคารโกดังการผลิตโรงงานละกว่า 10 อาคารหรือ 10 โรงงานย่อยในบริษัทใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโรงงานขนาดย่อมที่เป็นโรงงงานซับคอนแท็กของโรงงานขนาดใหญ่อีก เป็นร้อยโรงงาน ได้จมน้ำลงทั้งหมด โดยพบว่าเกือบทุกโรงงานไม่สามารถที่จะขนย้ายสิ่งของได้ทัน โดยนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่รับผิดชอบพื้นที่น้ำท่วม จ.พระนครศรีอยุธยา ลงตรวจสอบพื้นที่และพบว่าสร้างความเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้าน
ขณะที่แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมฯ เปิดเผยว่า ความเสียหายของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนครเบื้องต้น 3-4 หมื่นล้าน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังได้บันทึกภาพถ่ายรวมทั้งคลิปวิดีโอน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนคร มาให้ได้รับทราบความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลกับพี่น้องชาวไทยอีกด้วย
สำหรับ 46 บริษัท ที่อยู่ภายใน นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนคร มีดังนี้
1 บริษัท คาโต้เล็ค (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตแผงวงจรไฟฟ้า และวงจรอิเล็กทรอนิกส์
2. บริษัท คุมิ (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากพลาสติก
3 บริษัท คูราโม่ (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตและประกอบชุดสายไฟสำเร็จรูป
4 บริษัท เค.วี.เอส. เพลทติ้ง จำกัด CHEMICAL PLATING
5 บริษัท จี ไอ เค (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตแม่พิมพ์โลหะ
6 บริษัท โจนส์แอนด์ไวน์นิ่ง จำกัด หุ่นรองเท้าทำด้วยพลาสติก
7 บริษัท เชียง ไทย นิตติ้ง จำกัด เสื้อผ้าสำเร็จรูป ถักเสื้อไหมพรม
8 บริษัท ซี.ดี.เอส. เอเซีย จำกัด ผลิตภัณฑ์โลหะ เช่น DOOR HANDLE,FURNITURE HANDLE
9 บริษัท ไดมุ (ไทยแลนด์)จำกัด พิมพ์สิ่งพิมพ์
10 บริษัท ท็อป ไฮเทค (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตแม่พิมพ์โลหะและชิ้นส่วนพลาสติก
11 บริษัท ทีเอส เทค (ประเทศไทย) จำกัด ชิ้นส่วนภายในยานยนต์ เช่น เบาะนั่ง แผงประตู แผงหลังคา พวงมาลัย
12 บริษัท เทราล ไทย จำกัด ชิ้นส่วนปั๊มน้ำและชิ้นส่วนเครื่องจักร
13 บริษัท ไทย นิชชิน โมลด์ จำกัด แม่พิมพ์และชิ้นส่วนพลาสติก
14 บริษัท ไทย มารูจูน จำกัด ทำแบบ (DIES) และชิ้นส่วนยานยนต์
15 บริษัท ไทยคีทาฮาร่า จำกัด ผลิตกล่องกระดาษและกล่องพลาสติก
16 บริษัท ไทยชิบาอุระเด็นชิ จำกัด ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิก (THERMISTOR SENSORS)
17 บริษัท ไทยฮิดากะ จำกัด ผลิตแม่พิมพ์โลหะ รางม่านพร้อมอุปกรณ์ ชิ้นส่วนโครงพัดลมและใบพัดลมระบายอากาศ
18 บริษัท ธนาคม อินเจคชั่น จำกัด รองเท้า และชิ้นส่วนรองเท้าทำจาก PVC
19 บริษัท เน็กซัส อิเลคเคมิค จำกัด ชุบเคลือบผิวโลหะ (Electro Plating)
20 บริษัท บี.เอส.คามิยะ จำกัด CHEMICAL PLATING
21 บริษัท พี พี ไอ จำกัด ผลิตสีตีเส้นจราจร ผลิตสีน้ำมัน,สีน้ำ,น้ำมันขัดเงา,น้ำมันผสมสี,น้ำมันล้างสี
และผลิตภัณฑ์โลหะสำหรับงานจราจร
22 บริษัท เฟิสท์ แอพพาเรล (ไทยแลนด์) จำกัด เสื้อผ้าสำเร็จรูป
23 บริษัท เอม อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
24 บริษัท มาสโปร แอมเทค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผลิตประกอบอุปกรณ์ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
25 บริษัท เมเทค คิทามูระ (ประเทศไทย) จำกัด ชุบเคลือบผิวโลหะ
26 บริษัท ยามาโมโต้ เฟาน์ดรี (ประเทศไทย) จำกัด หล่อโลหะ
27 บริษัท โยชิทาเคะ เวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ ข้อต่อ ข้องอ (STRAINER) และวาล์ว
28 บริษัท โยเนะเด็น (ประเทศไทย) จำกัด ชุดสายไฟ และอุปกรณ์
29 บริษัท รัตนนครเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับงานอุตสาหกรรม
30 บริษัท วี.เอ็น.เคมีคัลซัพพลาย จำกัด กาวยางสังเคราะห์และปูนยาแนวสำเร็จรูป
31 บริษัท เวสเซล (ประเทศไทย) จำกัด ผลิต HAND TOOLS และAIR TOOLS PARTS เช่น SCREWORIVER SETS
32 บริษัท สยาม เค็นเซทสุ จำกัด ผลิตภัณฑ์พลาสติกและประกอบชิ้นส่วนสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์
33 บริษัท สยาม เอ็นเคเอส จำกัด น้ำยาชุบเคลือบผิวโลหะ,ทำให้โลหะแวววาว และนำยาลอกผิวโลหะ
34 บริษัท สยามยามาโต้ อินดัสทรี จำกัด ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและสำนักงาน
35
บริษัท อาควา นิชิฮาร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ถังบำบัดน้ำเสีย
ถังเก็บน้ำ ถังเก็บเคมีภัณฑ์ อุปกรณ์สำหรับระบบบำบัดน้ำเสีย
ทำจากพลาสติกและไฟเบอร์กลาส
37 บริษัท อินโนเวชั่น นครหลวง ฟุตแวร์ จำกัด รองเท้ากีฬา
38
บริษัท อี พี อี (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์
แม่พิมพ์ ปั๊มโลหะและประกอบปืนยิงอิเลคตรอน ชิ้นส่วนโทรทัศน์สี
39 บริษัท เอคโค่ แทนเนอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตหนังสำเร็จรูป
40 บริษัท เอคโค่ (ประเทศไทย) จำกัด รองเท้าและชิ้นส่วนรองเท้าทำจากหนัง
41 บริษัท เอ็น ไอ (ประเทศไทย) จำกัด PLASTIC MOULDING DINES,METAL STAMPING DIES AND ITS
COMPONENTS FOR SEMICONDUCTOR AND ELECTRONIC PRODUCTS,
COMPONENTS OF AUTOMATIC MACHINES FOR SEMICONDUCTOR PRODUCTS
42
บริษัท เอฟ.ที.เอ็น จำกัด ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ผลิตโลหะและชิ้นส่วนโลหะสำหรับผลิตภัณพ์ยานยนต์
และสำหรับผลิตภัณฑ์และสำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์การชุบเคลือบผิวโลหะ
และพลาสติก
43 บริษัท ฮิดะ อยุธยา (ประเทศไทย) จำกัด ผลิต TRANSFORMER ADAPTOR และชุดสายไฟฟ้าสำเร็จรูป
44 บริษัท ไฮเทค-รับเบอร์ โปรดัคส์ จำกัด ชิ้นส่วนจากยางและซิลิโคนสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
45 บริษัท บ้านแพน เอนจิเนียริ่ง แอนด์ โฮลดิ้ง จำกัด ก่อสร้างแฟลตเพื่อขายหรือให้เช่า
46 บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ก่อสร้างอาคารทาวน์เฮ้าส์เพื่อขายหรือให้บริการ, สถานีบริการน้ำมันและร้านสะดวกซื้อ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
น้ำเหนือไหลบ่า กรุงเก่าจมน้ำสูงกว่า 2 เมตร [ ไทยรัฐ : 20 ส.ค. 54 ]
น้ำเหนือไหลบ่าหนัก 7 กรุงเก่าอ่วม จมใต้บาดาลสูงกว่า 2 เมตร ไร่นาเสียหายหนัก ชาวบ้านเร่งขนของย้ายขึ้นที่สูง...
วัน
ที่ 20 สิงหาคม 2554 นายชูชาติ หาญสวัสดิ์
รมช.ว่าการกระทรวงมหาดไทยพร้อมคณะได้เดินทางมาตรวจสถานการณ์น้ำท่วม
ที่บริเวณหน้าวัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งมีแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมารวมกันแล้วไหลลงสู่ อ.บางปะอิน
อ.บางไทรแล้วไหลผ่าน จ.ปทุมธานี
โดยมีนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.อยุธยา และนายวิทยา
ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยาให้การต้อนรับและกล่าวรายงานว่า
สถานการณ์น้ำเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาทได้ปล่อยน้ำมาที่ท้ายเขื่อน 1870
ลบม./วินาที ทำให้ระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง10-20
ซ.ม.ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน วัด โรงเรียน
และสถานที่ราชการที่ตั้งอยู่ริม 2 ฝั่งแม่น้ำได้รับความเดือดร้อนจำนวน 7
อำเภอได้แก่ อ.พระนครศรีอยุธยา อ.เสนา อ.บางบาล อ.ผักไห่ อ.มหาราช
อ.บางปะอิน และ อ.บางไทร ระดับน้ำท่วมขังสูง 50-140
ซ.ม.ทำให้นาข้าวได้รับความเสียหายจำนวน 24,314 ไร่ ชาวบ้านขนของไว้ที่สูง
จึงได้สั่งการให้ทุกอำเภอเร่งช่วยเหลือประชาชนโดยมีเงินฉุกเฉินสำรองช่วย
เหลืออำเภอละ 1 ล้านบาท
ส่วนสถานที่น่าเป็นห่วงคือ
พระตำหนักสิริยาลัย วัดไชยวัฒนาราม วัดธรรมมาราม ระดับน้ำเหลืออีกเพียง 40
ซ.ม.จะล้นตลิ่ง อ.บางบาล น้ำจากคลองบางหลวงและคลองบางบาล
ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน อย่างหนักที่ ต.บางหัก ต.บางหลวง ต.บางหลวงโดด
ต.วัดตะกู ต.ไทรน้อย น้ำท่วมขังสูงกว่า 2 เมตร
ชาวบ้านต้องหนุนของหนีน้ำขึ้นอีกครั้ง
บางส่วนอพยพไปอาศัยอยู่ริมถนนพร้อมกับสัตว์เลี้ยง
ส่วนที่ อ.เสนา
น้ำจากแม่น้ำน้อยยังไหลทะลักท่วมตลาดเสนา(ตลาดบ้านแพน)เพิ่มสูงขึ้นราว
30-60
ซ.ม.ชาวบ้านและร้านค้าต้องขนของหนีและย้ายไว้ที่สูงส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่
แม่น้ำน้ำท่วมสูงกว่า 160 ซ.ม. ระดับน้ำที่หน้าประตูระบายน้ำคลองขนมจีน
ต.สามกอ สูงกว่า3 เมตร ต้องรอชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวก่อนสิ้นเดือนนี้
อ.พระนครศรีอยุธยา
น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าคลองเมืองรอบเกาะเมืองอยุธยาไหลท่วมบ้านเรือน
ประชาชนที่อยู่ริมคลองต้องขนของและสัตว์เลี้ยงหนีไว้ที่สูง
ต่อมา
นายวิทยา บุรณศิริ รมต.ว่าการกระทรวงสาธารณสุข
พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจดูน้ำท่วมที่บริเวณวัดจุฬามณี ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล
โดยมีนายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย
พร้อมคณะเดินทางไปร่วมพร้อมแจกถุงยังชีพให้กับชาวบ้านที่ได้รับความเดือด
ร้อนจากอุทกอภัยน้ำท่วมจำนวน 1,350 ชุด จากนั้น ได้เดินทางไปตรวจที่
อ.บางปะอิน พร้อมแจกถุงยังชีพอีกจำนวน 300 ชุด
และตรวจดูน้ำที่บริเวณวัดไชยวัฒนาราม
นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย กล่าวว่า
สถานการณ์การน้ำท่วมที่อยุธยาซ้ำซาก สมัยโบราณมีการขนส่งทางน้ำ
น้ำไหลหลากก็ท่วมเป็นประจำ การจัดการน้ำเมื่อก่อนทำนาปี
พอจัดการบริหารน้ำดี ชาวนาทำนาปลัง และบางที่ก็ทำนาตลอดทั้งปี
ดังนั้นเจ้าหน้าที่กรมชลประทานจัดการบริหารน้ำให้ดีน้ำก็จะไม่ท่วม
ดังนั้นทุกหน่วยงานต้องหันไปคิดย้อนหลังและแก้ไข
-----------------------------------------------------------------------------------------------