ช่วงต้นสัปดาห์ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ส่งผลให้มีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ต่อมาในช่วงกลางสัปดาห์ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาร์ ประเทศเวียดนาม และประเทศจีนตอนใต้ ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากนั้นร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับลมมรสมุตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้มีฝนตกหนักเพิ่มมากขึ้นบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และบางพื้นที่ของภาคใต้ ส่วนเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่ง ทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำกักเก็บรวมกันทั้งสิ้น 54,404 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 77% ของความจุ สถานการณ์อยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 30,862 ล้านลบ.ม. ซึ่งเขื่อนที่มีปริมาณน้ำเกินความจุเขื่อนได้แก่ เขื่อนน้ำอูน (105%) โดยมีน้ำล้นเขื่อนมาตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. 61 รวม 40 วัน ปัจจุบันมีน้ำกักเก็บ 548 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนแก่งกระจาน (102%) มีน้ำล้นเขื่อนตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 61 รวม 36 วัน ปัจจุบันมีน้ำกักเก็บ 724 ล้าน ลบ.ม.
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2018 เวลา 09:06 น. |
|
ช่วงต้นสัปดาห์ถึงกลางสัปดาห์มีร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาร์ ประเทศเวียดนามตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกปานกลางถึงตกหนักในบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ต่อมาในช่วงปลายสัปดาห์หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังปานกลางปกคลุมตอนบนของประเทศไทย ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงมีกำลังปานกลาง ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ทั้งนี้ปริมาณฝนสะสม 7 วัน ที่วัดได้จากระบบโทรมาตรของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ 151 มิลลิเมตร ตราด 147 มิลลิเมตร และนราธิวาส 106 มิลลิเมตร ส่วนเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำกักเก็บรวมกัน 16,382 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ 9,686 ล้านลูกบาศก์เมตร
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2018 เวลา 09:04 น. |
ช่วงต้นสัปดาห์นี้ลมรมสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรง ส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ต่อมาช่วงกลางสัปดาห์ถึงปลายสัปดาห์มีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณประเทศเมียนมาร์และประเทศลาวเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงมีกำลังแรง ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ส่วนเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่ง ทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำกักเก็บรวมกันทั้งสิ้น 52,876 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 75% ของความจุ สถานการณ์อยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 29,333 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเขื่อนที่มีปริมาณน้ำเกินความจุเขื่อนได้แก่ เขื่อนน้ำอูน (110%) โดยมีน้ำล้นเขื่อนมาตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. 61 รวม 26 วันและเขื่อนแก่งกระจาน (107%) มีน้ำล้นเขื่อนตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 61 รวม 21 วัน lสำหรับเขื่อนวชิราลงกรณถึงแม้ว่าน้ำจะไม่ล้นเขื่อน แต่มีปริมาณน้ำกักเก็บแล้วถึง 92% และมีการระบายน้ำผ่านทางระบายน้ำล้นตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 61
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2018 เวลา 16:36 น. |
ช่วงต้นสัปดาห์นี้มีพายุโซนร้อน “เบบินคา”(BEBINCA)ก่อตัวบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ทางฝั่งตะวันออกของเกาะไหหลำ ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรง ต่อมาในช่วงกลางสัปดาห์พายุโซนร้อน “เบบินคา” เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบนและอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันปกคลุมประเทศลาวตอนบนและภาคเหนือของประเทศไทย หลังจากนั้นในช่วงปลายสัปดาห์พายุดีเปรสชันได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเมียนมาร์ ส่วนลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้อ่อนกำลังลงแต่ยังคงส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากระจายตัวทั่วทุกภาคของประเทศไทย และจากอิทธิพลของพายุลูกนี้ส่งผลให้มี 3 จังหวัด ที่ยังคงมีสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินถล่ม ได้แก่ จังหวัดน่าน พะเยา และเชียงราย ทั้งนี้ปริมาณฝนสะสม 7 วัน ที่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดตราด 238 มิลลิเมตร น่าน 187 มิลลิเมตร และเชียงราย 171 มิลลิเมตร สำหรับเขื่อนที่มีปริมาณน้ำเกินความจุเขื่อนได้แก่ เขื่อนน้ำอูน (101%) และเขื่อนแก่งกระจาน (109%) ส่วนเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำกักเก็บรวมกัน 15,086 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ 8,390 ล้านลูกบาศก์เมตร จากอิทธิพลพายุโซนร้อน “เบบินคา” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2018 เวลา 18:20 น. |
ช่วงต้นสัปดาห์มีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงที่ปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้มีฝนตกหนัก และมีฝนตกหนักมากในบางพื้นที่ ต่อมาร่องมรสุมเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศเมียนมาร์ ประเทศลาวตอนบน และประเทศเวียดนาม ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้อ่อนกำลังลง แต่ยังคงส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักในพื้นที่ดังกล่าว หลังจากนั้นช่วงวันที่ 10 ส.ค. 61 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ อีกทั้งลมมรสุมตะวันตกเฉียงมีกำลังแรงส่งผลให้ฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ทั้งนี้ปริมาณฝนสะสม 7 วัน ที่วัดได้จากระบบโทรมาตรของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตรสูงสุด3 อันดับแรก ได้แก่จังหวัดระนอง 356 มิลลิเมตร พังงา 301 มิลลิเมตร และชุมพร 260 มิลลิเมตร ส่วนสถานการณ์น้ำในเขื่อนมีน้ำล้นเขื่อนที่เขื่อนน้ำอูน (103%) และเขื่อนแก่งกระจาน (102%)
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2018 เวลา 16:03 น. |
|
|
|
<< เริ่มแรก < ย้อนกลับ 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ถัดไป > สุดท้าย >>
|
หน้า 35 จาก 81 |