Home ข่าว 4 โครงการสู้น้ำ เร่งเสร็จใน มิ.ย.
4 โครงการสู้น้ำ เร่งเสร็จใน มิ.ย.

จะทุ่ม3หมื่นล้านทำเขื่อนริมแม่น้ำ

นายกฯประชุมร่วม “สุเมธ” พร้อมคีย์แมน กยอ.-กยน.เตรียมข้อมูลถวายรายงานในหลวง ในวันที่ 24 ก.พ. “ปีติพงศ์” เผย 4 โครงการเร่งด่วนสำคัญต้องเสร็จก่อนน้ำมา พ.ค.-มิ.ย.นี้ทั้งการจัดหาพื้นที่ทิ้งน้ำ 2 ล้านไร่ การสร้างคันกั้นน้ำ ขุดคลองระบายน้ำ และฟลัดเวย์ องคมนตรีเผยไทยมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำกว่า 100 คน แต่ยังแก้ปัญหาไม่ได้เพราะแต่ละคนหวงข้อมูล และเห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรี เป็นประธานองค์กรบริหารน้ำระดับชาติ   ยันมาถูกทาง แล้ว ชี้ควรยึดแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่าง “กิตติรัตน์” เดินหน้ากู้เงินบริหารจัดการน้ำทันที หลัง พ.ร.ก. 2 ฉบับ ศาลวินิจฉัยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ทุ่ม 60,000 ล้านบาท เตรียมพื้นที่รับน้ำ-ชดเชยชาวบ้าน พร้อมทำแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำอีก 30,000 ล้านบาท

ความคืบหน้าแผนการป้องกันน้ำท่วมในปี 2555 และปีต่อๆไป ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลนั้นที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อบ่ายวันที่ 23 ก.พ. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมหารือเรื่องการบริหารจัดการน้ำของประเทศในระยะเร่งด่วนและระยะยั่งยืน เพื่อถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 24 ก.พ. ร่วมกับนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิ ปิดทองหลังพระ ในฐานะประธานอนุกรรมการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) นายกิจจา ผลภาษี กรรมการ กยน. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการวางระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา กรรมการ  กยน.ในฐานะประธานอนุกรรมการวางระบบการจัดการน้ำระยะเร่งด่วน และนาย อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการ กยน.ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

ภายหลังการหารือนายปีติพงศ์เปิดเผยว่า ก่อนที่จะหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี  คณะอนุกรรมการวางระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และคณะอนุกรรมการวางระบบการจัดการน้ำระยะเร่งด่วน ซึ่งอยู่ในกรรมการ กยน.ได้ประชุมร่วมกัน โดยเน้นเรื่องโครงการสำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นอันดับแรกว่าโครงการใดจะเสร็จได้จริงๆ และสามารถทำได้ก่อนที่น้ำจะมาประมาณเดือน พ.ค. ถึง มิ.ย.เป็นอย่างช้า เรื่องที่ 2 คือพยายามที่จะดูว่าแผนผังเตรียมการรับน้ำเดิมที่มีอยู่ใช้ได้หรือไม่โดยต้องดูข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาว่าจะมีปริมาณน้ำและฝนเข้ามามากแค่ไหน ประกอบกับฝ่ายวิศว– กรรมจะบริหารจัดการน้ำได้อย่างไร สรุปแล้วยังเป็นไปตามแผนผังน้ำเดิมที่กำหนดไว้คือ ในส่วนของต้นน้ำใช้เขื่อนกักเก็บน้ำ กลางน้ำใช้แก้มลิง ปลายน้ำใช้การบริหารจัดการในเขต กทม.และพื้นที่โดยรอบ

สำหรับเรื่องที่ 3 ที่หารือกันคือจะประเมินดูว่างบลงทุนของรัฐบาลที่ใช้ทำโครงการต่างๆที่ผ่านมา ซึ่งผ่านอนุกรรมการวางระบบการจัดการน้ำระยะเร่งด่วน พิจารณาไปแล้ววงเงินกว่าหมื่นล้านบาท จะมีผลในการผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ที่ไม่ควรประสบภัยน้ำท่วมได้มากน้อยแค่ไหน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับปรุงแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับแผนงานหลักในระยะเร่งด่วน

เมื่อถามว่าพื้นที่ไม่ควรถูกน้ำท่วมคือพื้นที่ใด นายปีติพงศ์กล่าวว่า พื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจไม่ควรจะถูกน้ำท่วม แต่ไม่ได้เน้นเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว เช่นที่ดอนเมืองก็ไม่ควรจะท่วมอีกแล้ว หมู่บ้านบางหมู่บ้านจำเป็นจะต้องปรับปรุง ไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอีก ขณะเดียวกัน ต้องไปดูแผนระยะยาวที่จะใช้เงินจากเงินกู้ 350,000 ล้านบาทด้วย เพื่อนำไปจัดลำดับความสำคัญว่าโครงการใดจะทำก่อน โครงการใดจะทำทีหลัง

นายปีติพงศ์กล่าวถึงโครงการเร่งด่วนที่จะต้องเร่งให้เสร็จก่อนถึงเดือน พ.ค.-มิ.ย.ว่าโครงการแรกคือการบริหารจัดการพื้นที่ที่จะเป็นที่ทิ้งน้ำ หรือที่เก็บน้ำชั่วคราวประมาณ 2 ล้านไร่ ส่วนโครงการที่ 2 คือการสร้างคันกั้นน้ำในพื้นที่เทศบาล หรือพื้นที่ที่มีความสำคัญที่ไม่ควรถูกน้ำท่วม โครงการที่ 3 คือ การขุดคลองระบายน้ำ ปรับปรุงคูคลองต่างๆ รวมทั้งอาคารระบายน้ำ โครงการที่ 4 คือพื้นที่ที่ต้องทำเป็น ทางน้ำหลากหรือฟลัดเวย์ เพื่อให้มีเส้นทางให้น้ำวิ่งไป ซึ่งส่วนนี้มีคนเข้าใจผิดกันมากว่าจะต้องขุดคลอง แต่ความเป็นจริงจะใช้พื้นที่ที่น้ำไหลผ่านได้อยู่แล้ว แต่ทำให้น้ำไหลเร็วขึ้น และสามารถบังคับน้ำตามที่ต้องการได้

ก่อนหน้านี้เมื่อเช้าวันเดียวกัน ที่อาคารอเนกประสงค์ การประปานครหลวง (กปน.) สมาคมทรัพยากรน้ำแห่งประเทศไทย (สทนท.) จัดเสวนาเรื่อง “ถอดบทเรียนมหาอุทกภัย ปี 2554” โดยมีนายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป็นประธานเปิด งานเสวนา มีผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเสวนาระดมความเห็น นายอำพล กล่าวตอนหนึ่งว่า ในอดีตพื้นที่ใน ต.หันตรา จ.พระนครศรีอยุธยา เคยเป็นเหมือนแก้มลิงขนาดใหญ่เป็นพื้นที่รับน้ำ ชาวนา ชาวสวน จะรับ สภาพน้ำท่วมทุกปีและเป็นชีวิตที่อยู่กันมาแบบนี้มาตลอด ในปี 2507 รัฐบาลสร้างเขื่อนภูมิพล ปี 2520 สร้างเขื่อนสิริกิติ์ พอมี 2 เขื่อนนี้ทำให้สามารถบังคับน้ำไม่ให้ท่วมสูงหรือแห้งแล้งเกินไป ตลอดจนมีการสร้างคันดินไม่ให้น้ำท่วมทุ่งเหมือนเดิม หลังจากสภาพเปลี่ยนไปจึงมีการกว้านซื้อที่ดินทำโรงงานอุตสาหกรรมและบ้านจัดสรร บ้านพื้นสูงที่เคยอยู่อาศัย ก็ทำให้เตี้ยลง ถนนหนทางถูกสร้างขวางทางน้ำ พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงมาตลอด และทรงรับสั่งถึง “ฟลัดเวย์” ตั้งแต่ปี 2522 จนถึงปี 2538 ที่กรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่ไม่มีใครทำ

นายอำพลกล่าวว่า จำนวนผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำในประเทศไทยมีมากกว่า 100 คน แต่ทุกวันนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะประชุมกันแล้วต่างคนต่างหวงข้อมูล เมื่อประชุมไม่ได้ผลเลยไม่มีใครอยากทำ ที่นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานองค์กรบริหารน้ำระดับ ชาติ ถือว่ามาถูกทางแล้ว เพราะสั่งการได้ทันที และควรยึดแนวทางขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่าง ก่อนทรงงานจะทรงเห็นถึงปัญหาก่อน ทรงเสด็จฯไปทั่วประเทศ ตรงไหนมีปัญหาอะไร น้ำเป็นอย่างไร จะทรงทราบทั้งหมด และการทำงานควร ยึดตามพระราชดำรัส ที่ทรงพระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2541 ว่า “การที่ได้ทำความเจริญหรือความ สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนนั้น มิได้เป็นงาน ของผู้หนึ่งผู้ใดที่จะปฏิบัติได้ ต้องร่วมมือกัน ผู้ใดมีความรู้ทางใด ก็ควรจะใช้ความรู้ความสามารถนั้น เพื่อสร้างความมั่นคง ถ้ามีหลายคนที่มีความรู้อย่างเดียวกัน ก็ต้องร่วมมือกัน บางคนมีความรู้เหมือนกัน แต่ความเห็นต่างกัน ดังนี้ก็จะต้องปรึกษากันมาก กว่าที่จะเถียงกัน คำว่าปรึกษากับคำว่าเถียงนี่ต่างกัน คำว่าเถียงใช้แต่อารมณ์ คำว่าปรึกษาใช้ปัญญา ถ้าสามารถที่จะใช้ปัญญาปรึกษากัน จะได้คำตอบ เพราะว่าความจริงนั้นมีอันเดียว ความเท็จมีหลาย หรือทางที่ผิดมีมากมาย แต่ความจริงทางที่ดี ส่วนมาก เป็นทางเดียวที่จะสามารถนำพาสู่ความสำเร็จ”

ด้านนายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวว่า ปีนี้น้ำจะยังมากแต่ปริมาณจะไม่สูงเท่าปี 2554 โดยจะไปคล้ายกับปี 2551 ที่เริ่มมีน้ำท่วมตั้งแต่เดือน ม.ค. ส่วนแนวโน้มฝนจะมากขึ้น 7-8 ปีที่ผ่านมาฝนมากมาตลอด หากดูปริมาณฝนในปี 2549-2553 ปริมาณจะบวกลบที่ 13% แต่ในปี 2554 ฝนบวกขึ้นไปถึง 32% โดยเฉพาะใน ภาคเหนือและอีสานสูงมาก แค่เดือน มี.ค.เพียงเดือนเดียวมีฝนตกกว่า 1 พันมิลลิเมตร ฝนตก 3 วันปริมาณเท่ากับตกทั้งปี ทำให้น้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มากกว่าปกติ คำตอบโจทย์ส่วนหนึ่งรู้แล้วว่าจะต้องเพิ่มพื้นที่ป่า เพราะดินไม่ซับน้ำตะกอน จึงลงแหล่งน้ำทำเขื่อนสิริกิติ์ตื้นเขิน กรมประมงรายงานได้นายกรัฐมนตรีว่าบึงบอระเพ็ดมีตะกอนไหลเข้ามาถึง 2.2 ล้านตัน ขณะที่พื้นที่กรีน เบลท์ หรือพื้นที่สีเขียวเพื่อแปรสภาพให้เป็นทางระบายน้ำเมื่อมีน้ำหลาก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เคยมีรับสั่ง ก็หายไปหมด การแก้ไขจะต้องรู้ว่าโจทย์ของประเทศไทยคืออะไร ต้องรู้ปัญหาแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่ออกนโยบายให้ทำเหมือนกันหมดทั่วประเทศ

“ทุกวันนี้เราใช้งบปีละกว่า 1 พันล้าน ทำคัน ดินกั้นน้ำในประเทศ และในแม่น้ำโขงอีกเกือบพันล้าน แต่ใช้เงินในการขุดลอกระบายน้ำน้อยกว่ามาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่าถ้าจะกั้นต้องคิดถึงการระบายด้วย ถ้ากั้นอย่างเดียวก็พัง ที่ทรงทำหญ้าแฝก และการจัดการดินและน้ำ ก็เพื่อลด ตะกอนลงแหล่งน้ำ ดังนั้น จะต้องรู้ปัญหา ความร่วม มือและการปรึกษาหารือถือว่าเป็นหัวใจในการแก้ไข ทุกวันนี้สิ่งที่หายไปคือการบูรณาการ” นายรอยลกล่าว


ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการเดินหน้าตาม พ.ร.ก.2 ฉบับที่ผ่านการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายว่า จากนี้ไปจะเข้าสู่กระบวนการการพิจารณาและรัฐสภา ขณะเดียวกันรัฐบาลก็พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการกู้ยืมเงินตาม พ.ร.ก.ดังกล่าวควบคู่กันไป เบื้องต้น รัฐบาลจะทยอยกู้เงินเป็นช่วงๆ จะไม่ดำเนินการกู้ยืมทั้ง 350,000 ล้านบาทแน่นอน เรื่องโครงการลงทุนใหญ่ๆตอนนี้ถือว่ามีความชัดเจนหมดแล้ว ขณะที่การกู้เงินนั้นรัฐบาลจะค่อยๆทยอย และจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเป็น คราวๆไป ตามความพร้อมของโครงการต่างๆในแต่ละครั้ง ส่วนของโครงการเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้ทันกับช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงประมาณเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ คือ โครงการก่อสร้างกำแพงริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นการถาวร  เนื่องจากที่ผ่านมาใช้เพียงแนวกระสอบทราย จึงทำให้ไม่สามารถต้านทานกระแสน้ำได้  เบื้องต้น รัฐบาลน่าจะใช้งบในการก่อสร้างเขื่อนตามแนวริมแม่น้ำครบทุกโครงการ ประมาณ 30,000 ล้านบาท

นายกิตติรัตน์ยังกล่าวอีกว่า จะเร่งผลักดันโครงการที่เกี่ยวกับการจัดเตรียมพื้นที่รองรับน้ำ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็มีการลงพื้นที่เพื่อสำรวจความชัดเจนในพื้นที่ต่างๆ ทำให้ขณะนี้มีพื้นที่ซึ่งเตรียมไว้สำหรับการรองรับน้ำแล้วประมาณ 1.5 ล้านไร่ จากเป้าหมายที่กำหนดไว้ 2 ล้านไร่ โดยรัฐบาลจะต้องเตรียมพื้นที่เหล่านี้เอาไว้รองรับกับปริมาณน้ำฝนที่ล้นออกจากแม่น้ำลำคลองต่างๆ เพื่อให้ไหลมารวมไว้ในแต่ละจุด เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สำหรับงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการในส่วนดังกล่าว คาดว่าจะต้องใช้ประมาณ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้เพื่อเตรียมพื้นที่รองรับน้ำ และบางส่วนก็เพื่อชดเชยให้กับประชาชนที่ต้องเสียสละพื้นที่สำหรับรองรับน้ำ

อีกด้านที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน มีการจัดสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง “บทบาทและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการแก้ไขพิบัติภัยธรรมชาติ” โดยนายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์ ที่บริหารจัดการน้ำผิดพลาด ครั้งหนึ่งเคยเตือนเรื่องประเทศไทยจะเกิดสึนามิ กลับไม่มี ใครสนใจ ทั้งยังถูกต่อว่าอย่างหนัก พอมีสึนามิก็เกิดขึ้นจริง ประชาชนต้องเสียชีวิตนับหมื่น โดยไม่มีความรู้พื้นฐานในการป้องกันเลย จึงขอทำนายตามหลักวิทยาศาสตร์อีกว่า อีกไม่นาน มีความ เป็นไปได้สูงที่ กทม.จะจมอยู่ใต้บาดาล เนื่องจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น แนวทางที่จะแก้ไขได้ทางเดียว ซึ่งตนจะเสนอต่อรัฐบาล เพื่อให้บรรจุเป็นวาระแห่งชาติ คือจะต้องสร้างเขื่อนกั้นปากอ่าวเอาไว้ จาก จ.ฉะเชิงเทรา ถึง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ระยะทางยาว 91 กม. สันเขื่อนให้รถวิ่งได้ โดยจะขอให้นำงบประมาณที่จะสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆมาลงโครงการนี้ซักหนึ่ง สาย พื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือภาคอีสาน โรงงานต่างๆ ที่คิดจะทำเขื่อนกันน้ำท่วมเตรียมไว้ อยากแนะว่าให้ไปตั้งโรงงานแถวภาคอีสาน แม้ห่างไกลแต่หากรัฐบาลบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคน้ำไฟ รวมทั้งระบบขนส่งที่ดีก็ทำได้

ผู้สื่อข่าวรายงานจากที่ประชุมคณะทำงานจัดทำแผนการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อรับน้ำนอง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 55 ว่า ที่ประชุมในวันนี้มีนายเจษฎา แก้วกัลยา ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ เป็นประธาน โดยที่ประชุมสรุปพื้นที่รับน้ำที่กระทรวงเกษตรฯหามาได้ทั้งสิ้น 3.7 ล้านไร่ ส่วนหลักเกณฑ์ในการจ่ายชดเชยและช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่รับน้ำ แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1.ชาวนาที่อยู่ในเขตประกาศเป็นพื้นที่รับน้ำ แต่เริ่มปลูกข้าวนาปรังในปีนี้ ล่าช้าตั้งแต่หลังสิ้นเดือน ม.ค. เพราะน้ำท่วมขังในนา กลุ่มนี้จะปลูกข้าวปีนี้ได้รอบเดียว จะได้รับค่าชดเชยเป็นค่าเสียโอกาสไร่ละ 5,425 บาท และ 2. ชาวนาที่อยู่ในพื้นที่ประกาศเป็นที่รับน้ำนอง แต่ปลูกข้าวก่อนสิ้นเดือน ม.ค.ปีนี้ กลุ่มนี้จะปลูกข้าวปีนี้ได้ 2 ครั้ง จะได้รับเป็นค่าเช่านา เพื่อรับน้ำไร่ละ 625 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตามแผนการรับน้ำตั้งแต่เดือน ก.ย.-พ.ย.55

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/newspaper/240793

 
Home ข่าว 4 โครงการสู้น้ำ เร่งเสร็จใน มิ.ย.