|
ในหลวงทรงแนะโทษหนักป้องกันทำลายป่า
ตําหนิขรก.โลภอยากได้เงินให้ปลูกไม้โตเร็วปนเนื้อแข็งใช้แก้ปัญหานํ้าท่วม-ดินถล่ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแนะรัฐบาลปลูกป่าแก้น้ำท่วม-ดินถล่ม โดยทรงให้ปลูกป่าสวนผสม ไม้เนื้อแข็งกับไม้เนื้ออ่อน ป้องกันคนโลภลักลอบตัดไปขายรวมถึงทรงแนะควรเพิ่มบทลงโทษคนทำลายป่า ขณะที่นายกฯเผยแผนการบริหารจัดการน้ำ เน้นไม่ฝืนธรรมชาติ ทั้งพื้นที่รับน้ำและทางน้ำผ่านต้องผ่านทางน้ำธรรมชาติ หากน้ำมากถึงหาพื้นที่รับน้ำเน้นท้องทุ่ง ไม่ใช่ถนน ด้าน “ปราโมทย์ ไม้กลัด” ผ่าแผน กยน.ยังไม่ชัดเจน เชื่อปีนี้ยันปีหน้าก็ยังทำตามแผนไม่ได้ ยกกรณีปลูกป่าแบบเร่งด่วนใน 3 เดือน ไม่เชื่อจะได้ผล ควรให้ป่าฟื้นฟูตัวเอง รวมถึงปล่อยให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติ อย่าให้มีอะไรมาขวาง ด้านภาคอุตสาหกรรมขู่ 2 ปี รัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นน้ำไม่ท่วมไม่ได้ ย้ายโรงงานหนีแน่ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินหน้าผลักดันแผนบริหารจัดการน้ำ ที่จัดทำโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) แม้หลายฝ่ายยังไม่ค่อยมั่นใจว่ารัฐบาลจะทำตามแผนทั้งหมดได้จริง
นายกฯ นำ กยอ.-กยน.เข้าเฝ้าฯ ทั้งนี้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 24 ก.พ. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ รพ.ศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ. และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หรือ กยน.เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลรายงานเรื่องของการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการวางแผนเพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้น เมื่อปี 2554 ในหลวงทรงแนะปลูกป่าช่วย ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำรัส เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) ความว่า โดยรวมแล้วไม่ยากที่จะพูดแต่ก็สำคัญในเรื่องการไหลของน้ำว่า น้ำไหลสม่ำเสมอโดยจะเห็นว่า ในปีที่ผ่านมาน้ำไหลพรวดพราดแล้วไม่ยอมลง ที่นี้ปัญหาสำคัญก็คือเรื่องของป่าไม้ เรื่องต้นไม้ ตลอดภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ มีปัญหาเป็นแห่งๆ ที่แสดงให้เห็นมาในประเทศไทยและในต่างประเทศเห็นว่า ป่าไม้ถูกทำลาย ป่าไม้มีหลายชนิดโดยเฉพาะ ป่าไม้ที่ขึ้นเร็ว โตเร็ว และมีต้นไม้ที่ขึ้นช้าและถูกทำลาย ไม่สามารถที่จะแก้ไข ต้นไม้ที่โตเร็วทำลายเร็วก็จะทำให้ดินถล่มทุกแห่ง ถ้าต้นไม้ที่โตเร็วก็ทำลายเร็ว พังเร็ว และก็มีอันตรายมาก รวมไปถึงภาคเหนือเกือบทุกแห่งมีการพังทลายของดินของภูเขา อันนี้ก็อันตรายมาก แก้ไขยาก ก็ต้องหาวิธีแก้ไขเรื่องป่าไม้เป็นสำคัญ เพราะว่าความโลภของคน ต้นไม้ที่ชอบก็คือต้นไม้ที่มีคุณภาพ ต้นไม้แข็ง ต้นไม้อ่อนและต้นไม้ที่ถูกทำลายแล้วก็จะขึ้นช้าเพราะความโลภของคนต้องตำหนิข้าราชการที่โลภและอยากได้เงิน เพิ่มโทษป้องกันการทำลายป่า ต้นไม้ที่ช่วยในเรื่องของน้ำท่วมก็จะขึ้นช้าปลูกยาก แต่หลักการที่จะต้องทำก็คือจะต้องปลูกต้นไม้ที่ขึ้นเร็วผสมกับต้นไม้ที่ขึ้นช้าจะช่วยในการป้องกันน้ำท่วม ต้นไม้ที่เป็นไม้แข็งจะขึ้นช้า และเมื่อขึ้นช้าก็จะป้องกันได้ยากที่จะไม่ถูกทำลายถูกแซะ มันยากและต้นไม้แข็งย่อมขึ้นช้า ต้องหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายและให้มีการลงโทษหนัก เพื่อที่จะไม่ให้ถูกทำลาย ทรงให้ปลูกป่าสวนผสม นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง รับสั่งถึงการปลูกต้นไม้ก็ควรที่จะปลูกต้นไม้ที่ขึ้นช้าที่เป็นไม้แข็ง ไม้รากลึกทำให้ป้องกันดินถล่ม ซึ่งเป็นปัญหาที่ยากมากวิธีทำก็ปลูกผสมกับไม้อ่อนที่ขึ้นเร็วกับไม้แข็งที่ขึ้นช้า แล้วหาวิธีที่จะป้องกันการทำลาย เพราะว่าต้น ไม้แข็งเมื่อถูกทำลายแล้วมันจะต้องใช้เวลานาน อย่างที่กรุงเทพฯ ได้ปลูกต้นไม้แข็ง เช่น ไม้สัก และไม้ยาง ไม้สักกินเวลาหลายสิบปีกว่าจะโตและแกร่ง ไม้ยางขึ้นได้เร็วกว่าแต่ก็กินเวลานาน 60 ปี กว่าจะใช้ได้ ซึ่งเป็นงานหนักในการปลูกต้นไม้ที่จะช่วยให้เป็นในเรื่องของปัญหาที่เราทำคือ น้ำท่วม ดินถล่ม ก็ใช้เวลาเป็นแรมปีถึงจะขึ้นได้ วิธีทำนี่แหละปัญหา ก็จะปลูกต้นไม้ที่ขึ้นเร็วหมายความว่า ในสิบปีก็โตแล้วใช้การได้ แล้วก็ผสมกับต้นไม้ที่ใช้เวลานานกว่าจะใช้งานได้ในฐานะที่เป็นต้นไม้และในฐานะที่เป็นไม้ที่จะป้องกันน้ำท่วมเป็นเวลาหลายสิบปี ต้นไม้ที่ปลูกที่ขึ้นเร็วที่ใช้งานได้และไม้แข็งที่มีคุณภาพ ไม้ที่แพง ไม้ที่คนชอบไปตัดไม้ที่ขายก็พยายามที่จะทำมา ปลูกไม้อ่อนกันคนโลภลักตัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งถึงการปลูกป่าสวนผสมไม้แข็งกับไม้อ่อนด้วยว่า ที่ปลูกหลายชนิดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คนโลภเอาไปขาย ไม้ที่อ่อนที่ขึ้นเร็วคนไม่อยากได้เพราะไม่ได้สตางค์ ไม่ได้กำไร แต่ก็ต้องทำต้องดูแลต้นไม้ที่ก็จะป้องกันปัญหาของน้ำท่วม คนก็จะเห็นว่าปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม เป็นปัญหาของเราก็จะต้องพยายามป้องกัน ต้องปลูกไม้ที่แข็งนี้ส่วนมากรากลึกก็จะต้องปลูกผสมกันครึ่งต่อครึ่งก็ได้ ปลูกต้นไม้ที่ขึ้นเร็วและขึ้นช้าก็จะได้ผลแก้ไขปัญหาดินถล่ม น้ำท่วม แต่ว่าต้นไม้บางชนิดยางพารานี้ขึ้นเร็ว เวลาขึ้นมาแล้วก็ใช้ประโยชน์ในการทำยาง และไม้ยาง 20 ปีต้นไม้ยางก็จะใช้ได้ รากยังไม่หยั่งลึกก็ไม่สามารถที่จะรักษาดินที่จะถล่ม มาตอนหลังนี้ดินถล่มที่ภาคเหนือ แพร่ น่าน อย่าง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็มีทางภาคเหนือก็มีดินถล่ม น้ำท่วม และสามารถที่จะปลูกไม้แข็งมีรากลึก ก็จะป้องกันดินถล่มได้แน่นอน ถ้าได้ต้นไม้ที่แข็งแรง ภูเขาก็แข็งแรง ดินก็แข็งแรง อันตรายก็น้อย แต่ว่ารักษายาก แต่ถ้าทำป่าไม้ผสมไม้ที่อ่อน ไม้ที่มีรากลึกก็จะสามารถป้องกันป่าไม้ให้มีความแข็งแรง กยน.น้อมรับพระราชดำรัส ต่อมาในช่วงค่ำ นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เลขาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ในฐานะผู้ถวายรายงานการดำเนินงานของ กยน. เปิดเผยภายหลังการเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ว่า พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระราชทานคำแนะนำให้รัฐบาลและ กยน.ใช้หลักวิชาการรองรับในการดำเนินงานจัดการน้ำทุกด้าน โดยประเด็นที่ทรงเน้นย้ำคือเรื่องป่าและการปลูกป่า นอกจากนี้ ยังพระราชทานแนวทางเรื่องการบริหารน้ำในเขื่อนว่าจะต้องจัดการน้ำด้วยความรอบคอบในทุกประเด็น ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง และการใช้ประโยชน์จากน้ำ นอกจากนี้ พระราชทานคำแนะนำในการติดตามข้อมูลน้ำ โดยเฉพาะการระบายน้ำ ระดับความสูงต่ำของคันคลอง เนื่องจากบางครั้งในบางพื้นที่น้ำไหลไม่สะดวก มีจุดสันดอน จึงต้องมีเครื่องมือในการตรวจสอบพื้นที่ให้มีความแม่นยำมากขึ้น รวมทั้งเรื่องการสร้างคันกั้นน้ำ ที่ต้องทำอย่างเป็นระบบและเหมาะสม เพราะทรงมีความห่วงใยในพื้นที่น้ำหลาก และพื้นที่ท้ายน้ำที่สำคัญ ว่าน้ำอาจจะไม่มีที่ไป หากแข่งขันกั้นสร้างคันกั้นน้ำ ก็จะกลายเป็นการฆ่าตัวเอง “แนวพระราชดำริทั้งหมดในวันนี้ รัฐบาลและ กยน.รับใส่มาด้วยเกล้าฯและภายในสัปดาห์หน้าจะมีการหารือเพื่อนำแนวพระราชดำริมาขยายผล ดำเนินการต่อเนื่องไปตามแผน เพื่อให้การจัดการน้ำของประเทศมีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้นในอีกหลายจุด” นายอานนท์กล่าว ในหลวงทรงห่วงป่าต้นน้ำ หลังจากนั้น เวลา 20.50 น. ที่รัฐสภา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำคณะ กยน.และ กยอ.เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า รายละเอียดของการเข้าเฝ้าฯ ขอให้รอวันที่ 25 ก.พ. จะพูดในเรื่องหลักให้ฟังว่าได้นำคณะไปกราบบังคมทูลถวายรายงานความคืบหน้าหลังจากได้ลงไปดูภารกิจเรื่องน้ำช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พระองค์ท่านทรงห่วงใยเรื่องการดูแลรักษาป่าต้นน้ำ วันนี้ปัญหาคือเรื่องของการตัดไม้ทำลายป่าและต้องเร่งรัดเรื่องการปลูกป่า ถึงแม้จะเป็นการปลูกป่าในระยะยาวก็ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะต้นไม้เนื้อแข็งที่จะต้องเน้นเรื่องการอุ้มน้ำและรักษาหน้าดิน รวมทั้ง เรื่องการระบายน้ำ พระองค์ท่านทรงห่วงใยอยากให้มีการระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญการระบายน้ำในเขื่อนต้องระบายตามหลักของการรักษาความสมดุล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้งและเกษตรกรรม ซึ่ง กยน.ได้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสนำไปปรับปรุง การกราบบังคมทูลฯ ทำให้คณะที่เข้าเฝ้าฯ มีความมั่นใจในทิศทางการทำงานมากขึ้น จัดการน้ำไม่ฝืนธรรมชาติ อย่างไรก็ดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าแผนทั้งหมดทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งการบริหารน้ำในเขื่อน บริหารให้น้ำไหลตามคูคลองธรรมชาติ ไม่มีกำหนดที่ฝืนธรรมชาติ ดังนั้น น้ำทั้งหมดจะไหลตามคูคลอง เป้าหมายแรกคือต้องขุดลอกคูคลองให้ไหลไปสู่กระแสธรรมชาติ ส่วนระยะยั่งยืนการจะปรับยกระดับถนน ส่วนฟลัดเวย์จะเป็นทางน้ำธรรมชาติอย่างเดียว ไม่มีใครจะกำหนดฟลัดเวย์ที่ผิดธรรมชาติได้ ส่วนพื้นที่นั้นเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปว่าเป็นพื้นที่รับน้ำโดยธรรมชาติ เป็นพื้นที่ชั่วคราว ไม่กี่เดือนช่วงที่มีน้ำฝนลงมา แต่ถ้าคลองรับได้ระบายผ่านระบบชลประทานได้ ก็จะไม่มีพื้นที่รับน้ำตรงนี้ และในระยะยาวเราจะขุดลอกคูคลอง เรามีแนวคิดในการทำงานปีนี้บูรณาการแผนยั่งยืนเป็นหลัก แต่อะไรที่ทำได้ในระยะสั้นต้องทำก่อน เร็วสุดคือการขุดลอกคูคลอง ปรับน้ำลงธรรมชาติให้มากที่สุด หากน้ำยังมีมากอยู่เราจะหาพื้นที่รับน้ำ จะเป็นพื้นที่ท้องทุ่ง ไม่ใช่พื้นที่ถนน หรือพื้นที่ที่ต้องผ่านคลองใดทั้งสิ้น เชื่อภาพรวมน่าดีขึ้น ส่วนกรณีปัญหาต่างคนต่างทำงานนั้น นายก– รัฐมนตรี กล่าวว่า ในภาพรวมน่าจะดีขึ้น ทุกคนจะเห็นทิศทางเดียวกัน เราพยายามสื่อสารให้ทุกคนเห็นในแนวทางเดียวกัน แต่ในรายละเอียดอาจจะมีบ้างคงต้องใช้เวลาในการลงไปทำความเข้าใจ อีกทั้ง กยน.ต้องหาทีมในการลงพื้นที่สำรวจหน้างาน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและดูความแข็งแรงทั้งหมดอีกครั้ง 30 วันได้เงินชดเชยครบ นอกจากนี้ วันเดียวกัน ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้แก่ ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาเสนอข้อคิดเห็นต่อร่างแผนเผชิญเหตุอุทกภัยที่แต่ละจังหวัดจัดทำ ซึ่งต่อมานายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชนผู้ประสบภัยรายละ 5,000 บาท ทำไปเกือบครบแล้ว เชื่อว่าไม่เกิน 30 วันน่าจะเสร็จสิ้น ขณะที่แผนงานให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาตามข้อเสนอของจังหวัด ด้านโครงสร้างพื้นฐานได้รับอนุมัติงบประมาณ 15,157 ล้านบาท ได้จัดสรรไป 11,243 ล้านบาท คงเหลือที่สำนักงบประมาณอยู่ระหว่างการจัดสรรจำนวน 3,140 ล้านบาท เป็นห่วงในพื้นที่ กทม.เท่านั้น เพราะไม่มีกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้าไปดูแล จึงอยากให้ประธานชุมชนแต่ละชุมชน ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย ส่วนการช่วยเหลือ 10,000-30,000 บาทนั้น ในส่วนภูมิภาคได้เริ่มดำเนินการไปพร้อมๆ กันแล้ว โดยเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงเกษตรฯหรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งกระบวนการนี้อาจล่าช้าไปบ้าง เนื่องจากต้องสำรวจตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเฉพาะในด้านของสภาพพื้นที่จริง เอกสารหลักฐาน ตั้ง 3 เงื่อนเด้ง ผวจ.-ขรก.มท. นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพื่อสำรวจการจัดการน้ำว่าไม่มีสิ่งใดออกมาเป็นรูปธรรมว่า เป็นสิทธิการแสดงความคิดเห็นของเขา แต่ตนคิดว่าจากการสอบถามประชาชนหลายภาคส่วน ก็เห็นว่าทุกคนมีความสบายใจและมั่นใจมากขึ้นที่ได้เห็นรัฐบาลทำเช่นนั้น ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพในแต่ละจังหวัด โดยภาพรวมการทำงานจะมีเงื่อนไขการให้คุณให้โทษ 3 เรื่อง คือ 1.ต้องทำให้ยาเสพติดลดลง 2.ต้องมีความโปร่งใสในการดำเนินโครงการต่างๆ 3.การฟื้นฟูเยียวยาประชาชนต้องทำอย่างรวดเร็ว ทั้ง 3 ข้อนี้เป็นหลักในการพิจารณาโยกย้าย ผวจ.และข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย ถ้าใครมีปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ตนจะใช้อำนาจทางการบริหารในการสั่งโยกย้ายคนนั้นทันที ไม่ต้องรอให้ถึงช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ “สุขุมพันธุ์” ดูขุดคลองใหม่ ส่วนช่วงสาย ที่หน้าบริษัทยาคูลท์ ถนนวิภาวดี-รังสิต ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ตรวจระบบระบายน้ำคลองบางเขนใหม่ พร้อมทั้งดูการขุดคลองใหม่ และตรวจสถานีสูบน้ำในพื้นที่ของสำนักการระบายน้ำ กทม.โดย กทม. มีแผนในการขุดคลองทั้งหมด 1,161 คลอง คูลำประโดงจำนวน 521 คู ความยาวประมาณ 2,604 กิโลเมตร ซึ่งต่อมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า จุดนี้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการรับน้ำจากคลองสองและคลองบางบัง เพื่อระบายต่อไปยังคลองบางเขนใหม่ลงแม่น้ำเจ้าพระยา และบางส่วนก็ไหลต่อไปยังคลองลาดพร้าว ไปถึงสถานีสูบน้ำพระโขนง ลงอุโมงค์ยักษ์ไหลออกแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน โดยการขุดลอกคลองบางเขนเป็นเรื่องสำคัญที่ กทม.ต้องเร่งดำเนินการ ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของสถานีสูบน้ำบางเขน ซึ่งกำลังปรับปรุงในขณะนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ค.นี้ อย่างไร ก็ตาม สำหรับแผนขุดลอกคลองทั้งหมดคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้เช่นกัน เร่งลอกคลองบางเขนรับน้ำ ด้านนายสัญญา ชีนิมิต ผอ.สำนักการระบายน้ำ กล่าวว่า สำนักการระบายน้ำได้เร่งขุดลอกคลองบางเขนให้ลึกอีก 1-1.50 เมตร หากแล้วเสร็จจะสามารถระบายน้ำในพื้นที่ได้อย่างดี ส่วนคลองอื่นที่เป็นจุดคอขวด จะมีการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเพิ่มเติม ขณะที่การปรับปรุงสถานีสูบน้ำคลองบางเขนขาเข้าฝั่งเหนือนั้น ก่อนหน้านี้สถานีสูบน้ำดังกล่าวมีกำลังสูบ 3 ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ปัจจุบันมีการปรับปรุงขนาดอัตราการสูบเพิ่มขึ้นเป็น 7 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำที่ท่วมขังในถนนวิภาวดีฯ พื้นที่เขตหลักสี่และบริเวณใกล้เคียงได้ อย่างไรก็ตามแผนขุดลอกคลองที่สำนักการระบายน้ำรับผิดชอบตั้งเป้าจะให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ ความคืบหน้างานของสำนักการระบายน้ำ ถ้าเป็นงานปกติทั้งการขุดลอกท่อ หรือขุดคลอง มีความคืบหน้า 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนภาพรวมงานเร่งด่วนก็มีความ คืบหน้า 20 เปอร์เซ็นต์ โดยในเดือน พ.ค.หรือ มิ.ย. แผนต่างๆน่าจะดำเนินการเสร็จทั้งหมด นักวิชาการรุมจวกแผนรัฐ วันเดียวกัน มีการจัดอภิปรายและสัมมนาเกี่ยวกับมหาอุทกภัยเมื่อปีที่ผ่านมา โดยที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ศูนย์วิจัยและติดตามนโยบายภาครัฐ มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดการอภิปรายเรื่อง “ผ่าแผนน้ำฉบับเอาอยู่” และที่ห้องอเนกประสงค์การประปานครหลวง (กปน.) มีการสัมมนาเรื่อง “ถอดบทเรียนมหาอุทกภัยปี 2554” โดยทั้ง 2 งานมีผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการด้านน้ำและผู้สนใจเข้าร่วมงานคับคั่ง อาทิ นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน และกรรมการ กยน. นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการ กทม. และนายอุเทน ชาติภิญโญ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านการระบายน้ำและอดีตประธานคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยนายธีระชน เชื่อแม้ที่ผ่านมารัฐบาลสอบตกการแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่สามารถซ่อมได้จากการทำตามแผนของ กยน. ขณะที่นายปราโมทย์ ระบุว่า ต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมก็เพราะปีที่ผ่านมามีพายุเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็ตำหนิเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ก่อนเรื่องน้ำท่วม และยืนยันต้องปล่อยให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติ อย่าให้มีอะไรไปขวาง แนะปล่อยน้ำไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้ นายปราโมทย์ยังวิพากษ์แผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลทั้ง 8 แผนว่า ปี 2555 ก็ยังทำไม่ได้ ปี 2556 ก็ยังทำไม่ได้ ต่อให้ใช้แผนเร่งด่วนปี 55 ก็ยังไม่ชัดเจน ไม่มีแผนบริหารจัดการน้ำ พร้อมยกตัวอย่างการปลูกป่าทดแทน ความจริงควรปล่อยให้ป่าฟื้นฟูตัวเอง เป็นหน้าที่ของธรรมชาติดีที่สุด และคนมีอำนาจอย่าไปยุ่งกับป่า ดังนั้นจึงรู้สึกว่า นโยบายปลูกป่าในระยะเวลา 3 เดือน จึงไม่เชื่อมั่นว่าจะได้ผล แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ปลูกป่าแต่มันเป็นแผนในระยะยาวและควรกำหนดพื้นที่รับน้ำชะลอน้ำให้ชัดเจน และถูกต้องตามธรรมชาติ แต่ถึงตอนนี้ตนเองก็ยังไม่ทราบว่าเป็นพื้นที่ใดบ้าง เช่นเดียวกับที่นายอุเทน ชาติภิญโญ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านการระบายน้ำ ระบุไม่เห็นด้วยกับการไปหาพื้นที่รับน้ำ 2 ล้านไร่ เพราะไม่น่าคุ้มกับงบประมาณที่ต้องลงทุน ประมาณ 60,000 ล้านบาท หากลงทุนมากขนาดนี้ เป้าหมายต้องไม่มีน้ำท่วมอีกตลอดไป ส่วนตัวเห็นว่าให้เก็บน้ำ 4 เดือน ปล่อยน้ำ 8 เดือน ในเดือน พ.ค. ปล่อยให้เหลือน้ำอยู่ในเขื่อนภูมิพลที่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพื่อป้องกันน้ำท่วม และเสนอให้ทำอ่างเก็บน้ำเป็นแก้มลิง รบ.ต้องให้ความเชื่อมั่นกว่านี้ ส่วน นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม รองผู้ว่าการสายงานยุทธศาสตร์และการเงิน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “ถอดบทเรียนมหาอุทกภัยปี 2554” ว่าหลังน้ำท่วมใหญ่ นิคมอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนแผนประเมินรับมือภัยธรรมชาติ มีการออกแบบแผนรับมือใหม่ ปรับปรุงตัวเขื่อนป้องกันน้ำท่วม ปรับสถิติย้อนหลังระดับน้ำจากรอบ 10 ปี เป็น 70 ปี และโครงสร้างแข็งแรงขึ้น ทบทวนการจัดผังโรงงาน การเก็บสารเคมีต่างๆ และมีความร่วมมือกับหน่วยงานของกรมชลประทาน อบต. และท้องถิ่น ในการดูแลแหล่งน้ำ จะทำการตรวจสอบทุกปี ทางรับน้ำต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง และทุกนิคมฯ กำลังทบทวนแผนในการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแผนของประเทศ โดยเฉพาะแผนการจัดการน้ำของรัฐบาล แต่ถ้ารัฐบาลยังไม่มีมาตรการพิเศษมาช่วยดูแล การฟื้นตัวของโรงงานถึงสิ้นปีน่าจะไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน โดยเฉพาะการประกันภัยเมื่อโรงงานเดินเครื่อง ส่วนนิคมฯ ที่จะตั้งขึ้นใหม่จะต้องดูแผนบริหารจัดการของลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย รับมือไม่อยู่ 2 ปีย้าย รง.หนีแน่ ด้านนายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในเวลานี้เป็นห่วง 2 เรื่อง คือเรื่องเขื่อน กับเรื่องการพร่องน้ำ ภาคอุตสาหกรรมจะมองในระยะสั้นว่าจะเป็นอย่างไร หากรัฐบาลไม่สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ผลิตภายใน 2 ปี อาจจะส่งผลกับฐานการผลิตในประเทศ เพราะนักลงทุนอาจจะมีการย้ายฐานการผลิตในประเทศที่ไม่มีความเสี่ยง เป็นเรื่องระยะสั้นที่ต้องรีบทำความเชื่อมั่น รัฐบาลจะต้องบอกให้ได้ว่าปีนี้เขื่อนจะรับน้ำได้มากกว่าปีที่แล้วเท่าไหร่ และเขื่อนจะสามารถระบายน้ำได้มากเท่าไหร่ จะต้องรีบทำความชัดเจน เขื่อนจะรับน้ำได้เท่าที่รัฐบาลบอกหรือเปล่า ทุกวันนี้รัฐบาลให้เขื่อนภูมิพลเร่งระบายน้ำออกเหลือ 45 เปอร์เซ็นต์ แต่รู้หรือไม่ว่าก้นเขื่อนมีตะกอนมากแล้วน้ำจะมีเท่าไหร่ คนที่ดูแลเขื่อนยังบอกว่าเขานั่งดูอยู่ด้วยความเป็นห่วง ปีนี้จะมีการพร่องน้ำอย่างมหาศาล หากฝนตกใต้เขื่อนน้ำไม่เข้าเขื่อน จะเกิดความแห้งแล้งอย่างมาก คณะสงฆ์บางเลนประชุมรับมือน้ำ ส่วนการเตรียมการรับมือน้ำท่วมในปลายปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระครูถาวรศีลวัตร เจ้าคณะอำเภอบางเลน จ.นครปฐม พร้อม ร.ท.กฤษณ์ จินตะเวช นายอำเภอบางเลน และ น.ส.ประนอม คงพิกุล ผอ.พระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ร่วมประชุมวางแผนป้องกันน้ำท่วมกับคณะสงฆ์อำเภอบางเลนที่วัดเกษตราราม อ.บางเลน จ.นครปฐม ทั้งนี้ พระครูเกษมถาวรคุณ เจ้าคณะตำบลไผ่หูช้าง และเจ้าอาวาสวัดบางเลน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมของคณะสงฆ์ระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสทั้ง 38 วัดในอำเภอบางเลนเพื่อร่วมวางแผนป้องกันน้ำท่วม และช่วยเหลือประชาชน ซึ่งทางคณะสงฆ์อำเภอบางเลนตระหนักดีถึงมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่ต้องศึกษาและนำมาแก้ไข ป้องกันภัยน้ำท่วมต่อไป และคณะสงฆ์อำเภอบางเลน รวมถึงชาวบางเลนทุกคน ฝากขอบคุณทหารโดยการนำของ พ.ท.วรรธ อุบลเดชประชารักษ์ ผบ.พัน ร.19 พัน 3 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี ที่มาช่วยเหลือชาวบางเลนที่ประสบภัยน้ำท่วมและฟื้นฟูหลังน้ำลดเป็นระยะเวลาถึง 4 เดือน
ที่มา ไทยรัฐ วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555 |
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 10:03 น. |