|
หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคใต้ และประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักหนึ่งที่ทำให้เกิดอุทกภัยของภาคใต้และประเทศมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. 68 จนถึงปัจจุบัน (1 ธ.ค. 68) ก็ยังมีหลายพื้นที่ที่ยังได้รับผลกระทบอยู่นั้น ได้ทวีกำลังแรงขึ้นบริเวณช่องแคบมะละกาเป็นดีเปรสชัน 95B จนกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกที่ 4 (Tropical Cyclone 04B) ของฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ที่มีชื่อว่า พายุ “ซินญาร” (SENYAR) ในวันที่ 26 พ.ย. 68 ถือว่าเป็น “พายุหมุนเขตร้อนลูกแรกที่ก่อตัวขึ้นบริเวณช่องแคบมะละกาในเดือนพฤศจิกายน” และยังเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกที่ 2 รองจากพายุ “วาเม” (Vamei ปี 2544) ที่ก่อตัว “ใกล้เส้นศูนย์สูตรที่สุด” โดยปกติแล้วบริเวณตั้งแต่เส้นศูนย์สูตรถึงละติจูดที่ 5 องศามีโอกาสเกิดพายุหมุนเขตร้อนน้อยมาก เพราะขาดปัจจัยเสริมในการหมุนที่เรียกว่า “แรงโคริโอลิส” (Coriolis Force) ประกอบกับบริเวณช่องแคบมะละกา ก็ไม่มีปัจจัยเสริมที่เอื้อต่อการเกิดพายุได้เลย ทั้งพื้นที่ที่เป็นทะเลแคบๆ และใกล้ชายฝั่งทั้งสองด้านที่เป็นพื้นดิน รวมถึงอุณหภูมิน้ำทะเลก็มักไม่สูงพอสำหรับการพัฒนาของพายุ ถือได้ว่า การเกิดขึ้นของ “พายุซินญาร” เป็นเหตุการณ์ที่หายาก ฝืนกฎฟิสิกส์ และอาจไม่เคยเกิดขึ้นเลยในรอบ 100-400 ปี ของข้อมูลที่มีบันทึกไว้
เกร็ดเล็กน่ารู้ : พายุ “วาเม” (VAMEI) เคยอยู่ในรายชื่อพายุหมุนเขตร้อนฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ปัจจุบันชื่อนี้ถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยชื่อพายุ “เผ่ย์ผ่า” (PEIPAH) ซึ่งเป็นชื่อพายุชุดที่ 2 ลำดับที่ 49
|
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 02 ธันวาคม 2025 เวลา 13:28 น. |
|
|
"สงขลาอ่วม" ฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ประกาศ "เขตภัยพิบัติ" แล้วทั้ง 16 อำเภอ พื้นที่รับผลกระทบรวม 115 ตำบล 821 หมู่บ้าน 167 ชุมชน "โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่" ซึ่งเกิดอุทกภัยอย่างหนัก โดยมีสาเหตุมาจาก 1. ลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่แอ่งกระทะ จุดที่ต่ำที่สุดก็คือใจกลางเมืองหาดใหญ่ มีคลองอู่ตะเภาทอดยาวมาจาก อ.สะเดา ผ่าน อ.หาดใหญ่ ไหลไปลงทะเลสาบสงขลา และคลองระบายน้ำ ร.1 ซึ่งเป็นโครงการผันน้ำจากคลองอู่ตะเภาและน้ำที่จะไหลมาท่วมตัว อ.หาดใหญ่ เพื่อระบายลงสู่ทะเลโดยเร็ว ขณะที่น้ำไหลลงมาจากเขาคอหงส์ อ.นาหม่อม และ อ.จะนะ จะไหลลงสู่คลองหวะ ซึ่งไหลต่อลงสู่คลองอู่ตะเภา ด้านทิศตะวันออก นอกจากนี้ยังมีน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขานครศรีธรรมราชไหลลงคลองอู่ตะเภา ด้านทิศตะวันตก จะเห็นได้ว่า น้ำจากทุกทิศจะไหลลงสู่คลองอู่ตะเภา ซึ่งไหลผ่าน อ.หาดใหญ่ ก่อนลงสู่ทะเลสาบสงขลาต่อไป 2. มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยตอนบน ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำ ปกคลุมบริเวณทะเลอันดามันตอนล่าง และประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้ภาคใต้มีฝนตกตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งสัปดาห์ จากข้อมูลปริมาณฝนสะสม 3 วัน (21-23 พ.ย. 68) ที่สถานีสะเดา ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา วัดได้ 605 มม. ขณะที่สถานีอบต.พิจิตร ต.นาหม่อม อ.พิจิตร วัดได้ 693 มม. ทำให้ระดับน้ำคลองอู่ตะเภา อ.สะเดา และคลองหวะ อ.นาหม่อม เริ่มล้นตลิ่งตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 21 พ.ย. 68 และไหลลงมาล้นท่วมเมืองหาดใหญ่ ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 พ.ย. 68 และยังคงมีฝนตกต่อเนื่องบริเวณ อ.หาดใหญ่ และพื้นที่โดยรอบ ทำให้ระดับน้ำที่ไหลลงสู่ อ.หาดใหญ่ ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างเนื่องจนถึงปัจจุบัน
|
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2025 เวลา 15:15 น. |
|
สัปดาห์นี้ประเทศไทยมีเมฆปกคลุมกระจายตัวทั่วทุกภาคของประเทศ ประกอบกับ บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ตั้งแต่ช่วงวันที่ 14 พ.ย. 68 และจากการปะทะของบริเวณความกดอากาศสูง ประกอบกับความชื้นในอากาศที่ยังมีอยู่ รวมถึงลมตะวันออกและลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอ่าวไทย อันดามัน และประเทศไทย ที่มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ ประเทศไทยตอนบนรวมถึงภาคใต้มีกลุ่มเมฆฝนปกคลุม และมีฝนตกหนักถึงหนักมาก
|
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 12:00 น. |
|
พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” ถือว่าเป็นพายุลูกแรกที่เข้าประเทศไทยของปี พ.ศ. 2568 ในเดือน พฤศจิกายน ซึ่งโดยปกติแล้วจากสถิติพายุที่พัดเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน ส่วนมากจะเข้ามาทางภาคใต้ เรียกว่าการที่จะมีพายุเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเดือน พฤศจิกายน มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก ผลกระทบของพายุเกิดขึ้นช่วงวันที่ 7-10 พ.ย. 68 พื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้น และตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะภาคเหนือ ทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำเจ้าพระยา มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขื่อนเจ้าพระยาจึงต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. 68 และในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มเป็น เป็นอัตรา 2,900 ลบ.ม./วิ ซึ่งเกินเกณฑ์การระบายน้ำที่อยู่ที่ 2,730 ลบ.ม./วิ ส่งผลให้ระดับน้ำใน พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย และคลองสาขาต่างๆ กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง หลายพื้นที่ของภาคกลางมีน้ำท่วมสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะ สุโขทัย ชัยนาท พิจิตร อุทัยธานี นครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ประกอบกับวันที่ 8-10 พ.ย. 68 เป็นช่วงที่มีน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ จังหวัดนนทบุรีและนครปฐม ก็มีระดับน้ำท่วมสูง และแม้ว่าภาคใต้จะไม่ได้รับผลกระทบจากพายุโดยตรง แต่พายุก็มีส่วนทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากเช่นกัน เกร็ดเล็กน่ารู้ : จะนับว่ามีพายุเข้าไทย ก็ต่อเมื่อ พายุนั้นมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางอยู่ในระดับ ดีเปรสชันเขตร้อน (Tropical Depression)
|
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน 2025 เวลา 13:07 น. |
|
มวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ที่เคลื่อนเข้ามาทางปลายแหลมญวณอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ร่องมรสุมที่พาดผ่าน ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ลงสู่ทะเลอันดามันมีกำลังแรง ทำให้ประเทศไทยตอนบนกลับมามีฝนตกหนักถึงหนักมาก และเกิดอุทกภัยน้ำท่วมขังจากฝนตกสะสม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก หลายพื้นที่ บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ อุทัยธานี สุโขทัย เพชรบูรณ์ ระยอง ลำปาง กาญจนบุรี ตาก ชัยภูมิ รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะ “จังหวัดสุโขทัย ที่มีฝนสะสมในวันที่ 2 พ.ย. 68 สูงถึง 345 มิลลิเมตร ณ สถานี ทต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ถือว่าเป็นปริมาณฝนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือน พ.ย. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 - 2567 และเป็นปริมาณฝนที่สูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2568” โดยปกติจังหวัดสุโขทัยจะมีฝนตกชุกและมากที่สุดในเดือน ส.ค. และ ก.ย. บ่งบอกถึงความแปรปรวนของปริมาณฝน รวมถึงภาคใต้ที่มีฝนตกต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ทำให้เกิดดินทรุดและดินสไลด์ ในอำเภอกะทู้
|
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 04 พฤศจิกายน 2025 เวลา 16:42 น. |
|
|
|
|
<< เริ่มแรก < ย้อนกลับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ถัดไป > สุดท้าย >>
|
|
หน้า 1 จาก 89 |